มันฮัจญ์สะลัฟ โดยอิหม่ามอะหมัด : ห้ามโต้เถียงกับพวกบิดอะฮ์, ห้ามนั่งร่วมกับพวกบิดเบือนหลักการ

มันฮัจญ์สะลัฟ : ห้ามโต้เถียงกับพวกบิดอะฮ์, ห้ามนั่งร่วมกับ(หัวโจก)พวกบิดเบือนหลักการ
จากรากฐานสุนนะฮ์ของอิหม่ามอะหมัด

เรียบเรียงโดย เชคอบูคอดียะฮ์ อับดุลวาฮีด มักตะบะฮ์สะละฟียะฮ์
แปลโดย อบูจัสมิน [ 24 สิงหาคม 2564 ]

อิหม่ามอะหมัด บิน ฮันบัล -ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ์- กล่าวว่า “รากฐานสุนนะฮ์ ณ ที่พวกเรานั้น คือ การละทิ้งจากการโต้เถียงเเละนั่งร่วมกับ(หัวโจก)พวกตามอารมณ์(อะฮ์ลุลอะฮ์วา)

ท่าน อั้ล-อัลลามะฮ์ อะหมัด อั้นนัจมีย์ -ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ์- อธิบายเพิ่มเติมว่า : หลักฐานของคำพูดนี้มาจากดำรัสของอัลลอฮ์ -ซุบฮานะฮูวะตะอาลา-

وَقَدْ نَزَّلَ عَلَيْكُمْ فِى ٱلْكِتَـٰبِ أَنْ إِذَا سَمِعْتُمْ ءَايَـٰتِ ٱللَّهِ يُكْفَرُ بِهَا وَيُسْتَهْزَأُ بِهَا فَلَا تَقْعُدُوا۟ مَعَهُمْ حَتَّىٰ يَخُوضُوا۟ فِى حَدِيثٍ غَيْرِهِۦٓ ۚ إِنَّكُمْ إِذًۭا مِّثْلُهُمْ ۗ إِنَّ ٱللَّهَ جَامِعُ ٱلْمُنَـٰفِقِينَ وَٱلْكَـٰفِرِينَ فِى جَهَنَّمَ جَمِيعًا

“เเละเเน่นอนอัลลอฮ์ ได้ทรงประทานลงมาเเก่พวกเจ้าเเล้วในคัมภีร์ นั้นว่า เมื่อพวกเจ้าได้ยินบรรดาโองการของอัลลอฮ์ โองการเหล่านั้นก็ถูกปฏิเสธศรัทธา เเละถูกเย้ยหยัน ดังนั้นพวกเจ้าจงอย่านั่งร่วมกับพวกเขา จนกว่าพวกเขาจะพูดคุยกันในเรื่องอื่นจากนั้น มิเช่นนั้นเเล้ว ท่านก็เหมือนพวกเขา…” (ซูเราะฮ์อันนิสาอฺ : อายะฮ์ที่ 140)

เเละจากหะดีษของท่านนบี -ศ้อลลัลลอฮุอาลัยฮิวะซัลลัม- ได้กล่าวว่า “ผู้ใดก็ตามที่ได้รับทราบเกี่ยวกับการมาของดัจญาล เขาจงเลี่ยงไปให้ไกลเถิด ขอสาบานด้วยอัลลอฮ์ว่า เเท้จริง จะมีคนเข้าไปหามัน โดยที่เขาคิดว่าตัวเอง เป็นผู้ศรัทธาหนักเเน่น(ไม่หลงกลได้ง่ายๆ)เเต่สุดท้ายเเล้ว เขาก็จะเชื่อฟังปฏิบัติตามต่อความคลุมเคลือที่ดัจญานนำมา” (อะหมัด 19896, อบูดาวุด 4319, หะดีษศอฮิหฺ)

อิหม่ามอิบนุ บัตเฏาะฮ์ (เสียชีวิตปีฮิจเราะฮ์ที่ 387, เราะฮิมะฮุลลอฮ์) ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า : นี่เป็นคำพูดของศาสนทูต-ศ้อลลัลลอฮุอาลัยฮิวะซัลลัม- ท่านเป็นผู้สัจจริง เเละเป็นบ่าวผู้ศรัทธาของอัลลอฮ์ โอ้..มุสลิมทั้งหลาย พึงระวังเถิด ! อย่าปล่อยให้ผู้ใดในหมู่พวกท่าน ต้องหลงผิดไปกับคำพูดที่ดูดีมีเหตุผล – จนมอบความใว้วางใจเเก่เขาผู้นั้น ว่าเป็นคนมีความรู้ที่ถูกต้องในหลักศรัทธา และคิดว่าศาสนาของเขาจะปลอดภัยไม่ตกไปสู่อันตราย ด้วยการไปนั่งร่วมกับหัวโจกพวกตามอารมณ์(อะฮ์ลุลอะฮ์วา). บางคนกล่าวกันว่า “ฉันจะไปหาพวกบิดอะฮ์ และจะโต้แย้งกับเขา เเละฉันจะดึงเขาออกจากเเนวทางหลงผิดนั้น” ซึ่งพวกบิดอะฮ์เป็นฟิตนะฮ์ที่ร้ายเเรงกว่าดัจญาลเสียอีก. คำพูดของพวกเขาติดเชื้อง่ายกว่าโรคเรื้อน เเละเเผดเผาหัวใจได้ง่ายกว่าเปลวไฟที่ลุกช่วง ฉันได้พบผู้คนมากมายซึ่งก่อนหน้านี้เคยด่าทอเเละสาปเเช่งพวกบิดอะฮ์ ในวงสนทนาต่างๆ จากนั้นพวกเขาก็ไปนั่งร่วมกับพวกบิดอะฮ์ เเละหมายมั่นว่าจะสอนในสิ่งที่ถูกต้องเเก่พวกเขา เเละโต้เเย้งกับพวกเขา. แต่พวกบิดอะมิได้ละความพยายามในการผูกมิตร(เเละเเสดงความนอบน้อม)ต่อพวกเขา ซ้ำยังหลอกลวง เเละมีกลอุบายอันเเยบยล จนสามารถโน้มน้าวพวกเขา ให้กลายเป็นพวกเดียวกันได้” (ดู อั้ลอิบานะฮ์ 2/470)

รายงานจากท่านอนัส บิน มาลิก (เสียชีวิตปีฮิจเราะฮ์ที่ 92,เราะฏิยันลอฮุอันฮุ) กล่าวว่า มีชายคนหนึ่งมาหาท่าน เเละพูดกับท่านว่า “โอ้..อบู ฮัมซะฮ์! ฉันได้พบกับคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งพวกเขาปฏิเสธการชาฟาอะฮ์ ในวันกียามะฮ์ และการลงโทษในหลุมศพ”(ซึ่งเป็นความเชื่อที่หลงผิด) ท่านอนัส จึงได้กล่าวว่า “คนพวกนี้จอมมุสา,อย่าได้นั่งร่วมกับพวกเขา” (รายงานในอัล-อิบานะฮ์ ของอิบนุ บัตเฏาะฮ์. 2/448,408)

รายงานจากท่านอิบนุ อับบ้าส -เราะฏิยันลอฮุอันฮุมา- กล่าวว่า “อย่าได้นั่งร่วมกับอะฮ์ลุลอะฮ์วา (พวกอารมณ์นิยมเหนือหลักการ) เพราะการนั่งร่วมกับพวกเขาจะทำให้หัวใจป่วย” คำพูดนี้รายงานโดย อัลอาญูรีย์ในอัชชารีอะฮ์ (1/196 หมายเลขที่ 139) ในบทว่าด้วย “การโต้เถียงเเละวิพากษ์วิจารณ์กันในเรื่องศาสนาที่น่าตำหนิ” เช่นเดียวกับในรายงานของท่านอิบนุ บัตเฏาะฮ์ ในอัล-อิบานะตุ้ลกุ้บรอ ในบทที่ว่าด้วย “เตือนให้ระวังการคบค้าสมาคมกับผู้ที่หัวใจป่วยเเละอิหม่านบกพร่อง”

อิหม่าม อบุลเญาวฺซา เอาวซฺ บิน อับดิลลาหฺ อัรร่อเบียะอฺ (เสียชีวิตปีฮิจเราะฮ์ที่ 83, เราะฮิมะฮุลลอฮ์) ปราชญ์ตาบิอีนรุ่นอาวุโส กล่าวว่า “การมีเพื่อนบ้านเป็นลิง เป็นหมู ย่อมดีสำหรับฉัน มากกว่าการมีเพื่อนบ้านเป็นอ้ะฮ์ลุ้ลบิดอะฮ์” (อัล-ลาลิกาอิย์, 1/148,หมายเลข 213)

ท่านฟุดัยล์ อิบนุ อิย้าด (เสียชีวิตปีฮิจเราะฮ์ที่ 189, เราะฮิมะฮุลลอฮ์) กล่าวว่า “อย่าได้นั่งร่วมกับพวกบิดอะฮ์ เพราะฉันกลัวว่าคำสาปเเช่ง(จากพระผู้อภิบาล) จะประสบกับท่านด้วย” (อัล-ลาลิกาอี 1/155 หมายเลข 262, อิบนุ บัตเฏาะฮ์ 5/460 หมายเลข 441 บ้ารบาฮารีย์ หน้า 143,170)

อิหม่ามอั้ดดาริมีย์ รายงานในหนังสือมุก็อดดิมะฮ์ของท่าน (1/120 หมายเลข 379) บทว่าด้วย “จงออกห่างจากพวกตามอารมณ์ พวกบิดอะฮ์ เเละละทิ้งการโต้เถียงกับพวกเขา” ความว่า มีชายสองคนมาหาท่านมุฮัมหมัด อิบนุ ซีรีน (เสียชีวิตปีฮิจเราะฮ์ที่ 110, เราะฮิมะฮุลลอฮ์) เเละพูดว่า “โอ้อบูบักร ฉันต้องการสนทนากับท่าน” ท่านจึงตอบกลับไปว่า “ไม่” พวกเขาพูดต่อไปว่า “ถ้าอย่างนั้นให้เราอ่านให้ท่านฟัง ซักอายะฮ์หนึ่งจากคำภีร์ของอัลลอฮ์ ได้หรือไม่” ท่านตอบกลับไปว่า “ไม่เด็ดขาด, ท่านจะหยุดสนทนา เเละเดินไปจากตรงนี้ หรือไม่ฉันก็จะออกไปจากตรงนี้” จากนั้นชายทั้งสองก็กลับไป, มีบางคนถามว่า “โอ้…ท่านอบูบักร มันจะเกิดความเสียหายอะไรกับเพียงเเค่พวกเขามาอ่านอายะฮ์หนึ่งจากคำภีร์ของอัลลอฮ์ให้ท่านฟัง” ท่านตอบว่า “เเท้จริง ฉันกลัวว่า ที่พวกเขามาอ่านกรุอ่านเพียงหนึ่งอายะฮ์นั้นให้ฉันฟังเเล้วเกิดความไขว้เขว ซึ่งมันอาจจะฝังไปในหัวใจของฉัน” และยังปรากฏในอัชชารีอะฮ์ ของอิหม่าม อัลอาจูรีย์ 1/191, หมายเลข 127 อะษ้าร 44 และ อัลลาลิกาอีย์ ในบทว่าด้วย “จากคำพูดของท่านนบี -ศ้อลลัลลอฮุอาลัยฮิวะซัลลัม- ในการห้ามโต้เถียงในเรื่องราวของศาสนา กับพวกอุตริบิดอะฮ์”

รายงานจากท่านอับดุ้ร รอซซ้าก บิน ฮามาน อัสซานนาอีย์ อัล-ยามานี (เสียชีวิตปีฮิจเราะฮ์ที่ 211,เราะฮิมะฮุลลอฮ์) กล่าวว่า อิบรอฮิม บิน มุฮัมหมัด บิน อบู ยะฮ์ยา พูดกับฉันว่า “ฉันเห็นพวกมัวอฺตาซีละฮ์จำนวนมากอยู่ร่วมกับท่าน(ในเมืองที่ท่านอาศัยอยู่)” ฉันจึงตอบว่า “ใช่เเล้ว,พวกเขาก็อ้างว่าฉันเป็นพวกเดียวกับพวกเขา” เขาจึงถามว่า “ท่านจะไม่เข้ามาในร้านนี้หรือ เพื่อฉันจะได้สนทนากับท่าน?” ฉันจึงตอบไปว่า “ไม่เป็นไรหรอก” เขาถึงถามว่า “ทำไมหรือ?” ฉันก็ตอบไปว่า “เพราะหัวใจนั้นเป็นสิ่งที่อ่อนเเอ เเละศาสนาไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าใครสามารถเอาชนะผู้อื่นได้ในวงสนทนา” (อัล-อิบานะตุลกุบรอ,2/446 หมายเลข 401 เเละ อัล-ลาลิกาอีย์ หมายเลข 249)

มุบัชชิร บิน อิสมาอิล อัลฮาลาบีย์(เสียชีวิตปีฮิจเราะฮ์ที่ 200, เราะฮิมะฮุลลอฮ์) กล่าวว่า “จากท่านอับดุรรอฮมาน บิน อัมรฺ อัลเอาซาอีย์(เสียชีวิตปีฮิจเราะฮ์ที่ 157, เราะฮิมะฮุลลอฮ์) กล่าวว่า “มีชายคนหนึ่งกล่าวว่า ฉันเคยนั่งร่วมกับชาวสุนนะฮ์ เเละนั่งร่วมกับพวกบิดอะฮ์ด้วย” ท่านอัลเอาซาอีย์ จึงตอบกลับไปว่า “ชายผู้นี้ปรารถนาจะทำให้เท่ากันหรือปะปนกัน ระหว่างความจริงและความเท็จ” (อัล-อิบานะตุล กุบรอ 2/246 หมายเลขที่ 430)

สายตาอันเฉียบขาด

อั้ล-อัลลามะฮ์ ร่อเบียะอฺ บิน ฮาดีย์ อัลมัดคอลีย์ (หะฟิศ่อฮุ้ลลอฮ์) กล่าวว่า :

“ดังนั้น เราขอตักเตือนเยาชนทั้งหลาย ให้ระวัง อย่าได้นั่งรวมกับพวกอะฮ์ลุลอะฮ์วา และคบค้าสมาคมกับพวกเขา อย่าได้เอามาเป็นมิตรสหาย หรือใว้ใจพวกเขา, มีบทเรียนมากมายจากชนยุคก่อน, ที่พวกเขาตกหลุมพรางทางความคิด โดยที่พวกเขาคิดว่าตนเองสามารถไปชี้นำพวกหลงผิดเหล่านั้นได้ และหวังให้พวกเขาจะกลับตัวกลับใจจากความเฉไฉ,ความหลงผิดนั้น เเต่เเล้วเขาก็เกิดข้อคลุมเครือ , สับสน เเละไม่เเน่ใจ จนสุดท้ายก็กลายเป็นพวกบิดอะฮ์ สิ่งนี้เคยเกิดขึ้นบนประวัติศาสตร์ในอดีตช่วงยุคต้นของอิสลาม เคยเกิดขึ้นกับลูกชายของศอฮาบะฮ์ ที่ใว้ใจต่ออับดุลลอฮ์ บิบนุ ซะบะฮ์ (ผู้ก่อตั้งกลุ่มชีอะห์) จนสุดท้ายก็ตกไปสู่ความหลงผิด, หรือลูกชายของศอฮาบะฮ์และตาบิอีน ที่พวกเขาไปใว้ใจต่ออัลมุกตัร อิบนุ อุบัยด์ และสุดท้ายก็ตกไปสู่ความหลงผิด.

เเม้กระทั่งในปัจจุบัน ยังมีผู้สนับสนุนนักเรียกร้องทางการเมืองที่หลงผิด,หัวโจกบิดอะฮ์ และสุดท้ายผู้คนก็ตกหลุมพรางของพวกหลงผิดนั้น

ยังมีผู้คนเช่นนี้อีกมากมาย ฉันจะยกตัวอย่างเรื่องราวของอิมรอน อิบนุ ฮิทตอน. ที่เคยเป็นชาวอะฮ์ลุซสุนนะฮ์ เเละไปหลงเสน่ห์หญิงสาวจากพวกเคาะวาริจ.​ โดยเขาตั้งใจว่าจะเเต่งงานกับนาง เเละหวังจะดะวะฮ์นางมาสู่เเนวทางสุนนะฮ์ แล้วเมื่อได้เขาเเต่งงานกับนาง นางก็ทำให้เขาตกไปสู่บิดอะฮ์ แทนที่จะได้ดะวะฮ์นางตามที่หวังใว้ แต่กลับหลงผิดเสียเอง มีผู้คนมากมายที่อ้างว่าตนอยู่ในมันฮัจญ์สะละฟีย์ และกล่าวกันว่า “ฉันจะไปร่วมคบค้าสมาคมกับพวกบิดอะฮ์ เพื่อที่จะดะวะฮ์พวกเขา” เเต่เเล้วก็ตกไปอยู่ในเเนวทางของพวกเขาเสียเอง.

อับดุรรอฮ์มาน อิบนุ มิลญิม และ อิมรอน อิบนุ ฮิตตอน – ทั้งสองเคยเป็นชาวสุนนะฮ์ เเละสุดท้ายตกไปสู่ความหลงผิด. ซึ่งความชั่วร้ายของอับดุรรอฮ์มาน อิบนุ มุลญิม นำไปสู่การสังหารท่านอะลีย์ และความชั่วร้ายของอิมรอน อิบนุ ฮิตตอน นำไปสู่การยกย่องชมเชยการสังหารท่านอะลีย์

เขาได้ร่ายกลอนยืดยาวเพื่อยกย่องสรรเสริญอิบนุ มิลญิม [ผู้สังหารท่านอะลีย์ บิน อบีตอลิบ]

บารอกัลลอฮุฟิก. เเละท่านอับดุรรอซซาก อัสซาอานีย์ (เสียชีวิตปีฮิจเราะฮ์ที่ 200,เราะฮิมะฮุลลอฮ์) ปราชญ์เเห่งหะดีษ ก็เคยหลงกล นักอิบาดะฮ์ผู้ถ่อมตน ผู้มักน้อยในดุลยา(ซุฮ์ด) นามว่าญะฟัร อิบนุ ซุลัยมาน อัดดูบาอีย์ คบกันจนเป็นสหายใกล้ชิด เเละสุดท้ายก็กลายเป็นพวกชีอะห์

หรือเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นกับอบู ซ้าร อัล-ฮารอวีย์ ท่านเคยเป็นผู้รายงานหะดีษศอฮีฮ์ และเป็นปราชญ์ในสาขาหะดีษผู้เลืองลือ.เเต่ได้รับข้อคลุมเครือจากคำพูดของอัล-ดารุกกุตนีย์ ที่ท่านเคยยกย่องสรรเสริญอัลบะกีลานีย์. เขาได้ยึดเขายกย่องนี้เอา สุดท้ายก็ตกหลุมพรางของพวกอะชาอิเราะฮ์ จากนั้นเขาเลยกลายเป็นนักเรียกเผยเเผ่ของพวกอาชาอิเราะฮ์. ด้วยเหตุนี้ทำให้ความเชื่ออาชาอิเราะฮ์เผยเเผ่ไปทั่วแคว้นอาหรับมัฆริบ(เอฟริกาเหนือ,มอรอคโค, ฯลฯ) ผู้คนในมอรอคโค ล้วนมาหาทำความรู้จักเเละผูกมิตรกับเขา ทำให้เขาสามารถสอดเเทรกความเชื่ออะชาอิเราะฮ์ไปสู่ตพเป่แหะดทคนเหล่านั้น พวกเขายอมรับโดยที่ไม่รู้ตัว โดยคิดว่านั้นเป็นมันฮัจญ์สะละฟีย์

ท่านนบี -ศ้อลลัลลอฮุอาลัยฮิวะซัลลัม- กล่าวว่า

من دعا إلى هدىً كان له من الأجر مثل أجور من تبعه لا ينقص من أجورهم شيئاً ومن دعا إلى ضلالة كان عليه من الوزر مثل أوزارهم إلى يوم القيامة لا ينقص من أوزارهم شيئاً

“ผู้ใดเชิญชวนผู้อื่นไปสู่เเนวทางที่ถูกต้อง เขาจะได้รับผลบุญเท่ากับผลบุญของผู้ที่ปฏิบัติตามคำเชิญชวนของเขา โดยที่ผลบุญของเขาเหล่านั้นไม่ได้ขาดหายไปเเต่ประการใด และผู้ใดที่เชิญชวนสู่ความหลงผิด เขาจะได้รับบาป เช่นเดียวกับผู้ที่ปฏิบัติตามคำเชิญชวนเขาในความผิดบาปนั้น ไปจนถึงวันกียามะฮ์ โดยไม่ได้ขาดหายไปเเต่ประการใด” บันทึกโดยมุสลิม

ท่านอัลบัยฮะกีย์ก็เคยหลงกลกับพวกบิดอะฮ์ เช่นเดียวกับท่านอิบนุ เฟาร้อก และคนอื่นๆ ท่านเคยเป็นปราชญ์ผูัมีชื่อเสียงในด้านหะดีษ เเต่เเล้วก็กลายเป็นพวกอาชาอิเราะฮ์

เป็นไปได้ที่มันจะเกิดขึ้นกับคนโง่เขลาที่มั่นใจในตัวเอง และหลงกลด้วยสิ่งนั้น เนื่องจากเขาไม่มีความรู้พอที่จะปกป้องตัวเอง. ด้วยเหตุนี้ เขาจึงมีโอกาสตกเป็นพวกบิดอะฮ์มากกว่าปราชญ์ที่เราได้ยกตัวอย่างไป เป็นร้อยเท่า.

ปัจจุบันก็มีตัวอย่างให้เห็นมากมาย บางคนที่เราทราบว่าเขาเคยอยู่ในเเนวทางสะลัฟ แต่เมื่อเขาไปอยู่ร่วมกับพวกบิดอะฮ์ ทำให้เขาหลงผิด, เพราะพวกบิดอะฮ์ มีวิธีการต่างๆ, มีเเรงจูงใจ, มีเเนวทาง และรูปแบบต่างๆ บางครั้ง ก็อาจเป็นเเนวทางที่ชั่วร้ายเหมือนครั้งที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ซึ่งไม่มีทางรู้ได้. ทุกวันนี้ พวกบิดอะฮ์ ยังคงใช้วิธีการและเเนวทางเหล่านี้ หลอกลวงผู้คน หนึ่งในวิธีการที่พวกบิดอะฮ์นำมาใช้ในยุคนี้ คือ การที่พวกเขาพูดว่า “ท่านสามารถอ่านหนังสือ[ของใครก็ได้] เเละเลือกเอาเฉพาะที่ถูกต้อง และทิ้งส่วนที่เป็นเท็จเสีย” ซึ่งมีเยาวชนมากมายที่ไม่รู้เลยว่าสิ่งใหนเป็นความจริงเเละสิ่งใหนเป็นความเท็จ พวกเขาไม่สามารถเเยกเเยะระหว่างความจริงเเละความเท็จได้ ทำให้เขาต้องตกไปสู่ความเท็จ โดยคิดว่านั่นเป็นสัจธรรม และพวกเขาปฏิเสธสัจธรรม โดยคิดว่านั่นเป็นความเท็จ สิ่งเหล่านี้ได้บิดพริ้วสายตาของพวกเขา ดังที่ท่าน ฮุดัยฟะฮ์ ได้กล่าวว่า

إن الضلالة كل الضلالة أن تنكر ما كنت تعرف, وتعرف ما كنت تنكر

“ความหลงผิดอย่างเเท้จริงนั้น คือการที่ท่านปฏิเสธในสิ่งที่ท่านเคยยอมรับมาก่อน เเละกลับไปยอมรับในสิ่งที่ท่านเคยปฏิเสธใว้”

 ดังนั้น ท่านจะพบว่าสิ่งนี้ยังเกิดขึ้นในหมู่สะละฟียะฮ์ ด้วยความประสงค์ของอัลลอฮ์ บรรดาคนมิสกีน[คนไม่รู้] ที่ผินหลังให้เเนวทางสะลัฟ และหันมาต่อต้านชาวสุนนะฮ์ สิ่งที่เคยชั่วร้าย เขากลับมองว่ามันดี เเละสิ่งที่ดีเขากลับมองว่ามันชั่วร้าย. นี้คือความหลงผิดอย่างเเท้จริง ฉะนั้น เราจึงขอตักเตือนบรรดาเยาวชน ให้ระวังจากการหลอกลวงของพวกบิดอะฮ์ อย่าได้วางใจต่อพวกเขา”

การสรรเสริญทั้งมวลเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮ์ พระเจ้าผู้สร้างเเห่งสากลโลก และขอความสันติ เเละความจำเริญจากอัลลอฮ์ จงประสบเเด่ท่านนบีมูฮัมหมัด วงศาคณาญาติของท่านเเละบรรดาอัครสาวกของท่าน.​