:: เชคมูฮัมหมัด บิน อับดุลวาฮาบ และประเทศซาอุดิอารเบีย ฉบับย่อ::
อุสตาซอบูคอดียะฮ์ อับดุลวะฮีด มักตะบะฮ์สะละฟีย์ยะฮ์
แปลโดยอบูจัสมิน
[27 มิถุนายน 2563]
เชคฮัมหมัด บิน อับดุลวาฮาบ เกิดเมื่อปี ฮิจเราะศักราช 1115 ในสถานที่หนึ่งที่เรียกว่า “อุยัยนะฮ์” ในคาบสมุทรอาหรับ ซึ่งตรงนั้นพวกออตโตมันมิได้ปกครองมาถึงอาณาเขตนี้ เพียงแต่เป็นเเคว้นที่อยู่กัน เป็นชนเผ่าต่างๆ ปกครองโดยผู้นำของเเต่ละเผ่า
มีเมืองนึงที่ชื่อว่า “ตุวัยน์” อยู่ในเเคว้นนัจย์ เป็นเมืองเดียวที่มีกษัตริย์ปกครองถึงสี่ พวกเขาเเบ่งการปกครองเป็นสี่ส่วน เเต่ละส่วนก็เเบ่งกันดูเเล นั่นคือช่วงเวลาของเชคมูฮัมมัด บิน อับดุลวาฮาบที่ท่านเกิดมาในยุคนั้น
ท่านได้เริ่มต้นเผยเเพร่เตาฮีดและสุนนะฮ์ ในเมืองหนึ่งที่ชื่อว่า “ฮุรัยมีละฮ์”และ อุยัยนะฮ์ เเละช่วงที่ท่านเริ่มดะวะฮ์
มีกษัตริย์สองท่านจากเมืองดิรฮิยะ อยู่ถัดทางตอนเหนือของเมืองริยาด(ซาอุดิอารเบียในปัจจุบัน) เดินทางมาฟังการสอนของเชคมูฮัมมัด บิน อับดุลวาฮาบ ในเรื่องเตาฮีด (การให้เอกภาพต่ออัลลอฮ์เพียงผู้เดียว)
ซึ่งไม่ไช่เรื่องที่เกี่ยวกับการตั้งรัฐอิสลาม หรือการยึดครองเมือง หรืออะไรทำนองนี้ เเค่มาฟังเรื่องเตาฮีด และสุนนะฮ์ เท่านั้น
อุลามะฮ์ บางท่านได้กล่าววว่า ตอนที่เชคมูฮัมหมัด บินอับดุลวาฮาบ เขียนหนังสือ กีตาบุตเตาฮีด นั้น ท่านอายุเพียงเเค่ยี่สิปปี ต้นๆ เอง
โดยหลังจากที่ท่านโดนเนรเทศออกจากเมือง อุยัยนะฮ์ ท่านก็ได้เดินทางไปยังเมือง ดิรอิยะฮ เมือท่านเริ่มสอนที่เมืองดิรอิยะฮ์ ก็มีภรรยาเจ้าเมืองดิรอิยะฮ์ มาฟังการสอนของเชคมูฮัมหมัด บินอับดุลวะฮ์าบด้วย
เเล้วนางก็กลับไปหาสามี ผู้เป็นเจ้าเมืองนั้น และบอกเเก่สามีของนางว่า “มีอุลามะอ์ท่านหนึ่งได้มาสอนเราที่เมืองดิรอิยะฮ์นี้ ท่านก็ควรไปนั่งเรียนกับเขาด้วย”
กษัตริย์ก็ได้ตอบว่า “ไม่ได้หรอก เธอต้องบอกให้เขามาหาฉันดีกว่า”
นางจึงตอบว่า “ไม่ได้ค่ะ ท่านสามี ความรู้ ท่านก็ต้องไปหาเอง ท่านเป็นผู้นำเมืองนี้ ท่านก็ต้องไปหาเขา เเล้วไปนั่งเรียนกับเขา”
เเล้วท่านก็ไปหาเชคและนั่งฟังเชค ท่านรู้สึกประทับใจ ชื่นชม เพราะได้รับความรู้ใหม่ ที่ไม่เคยได้ยินที่ใหนมาก่อน
สาเหตุมาจากว่า รอบๆ เมืองดิรอิยะฮ์นั่นมี โดมของหลุมศพมากมาย เป็นโดมสุสานของบรรดาศอฮาบะฮ์ ผู้คนยังไปที่นั่น เเละนำสัตว์ไปเชือดพลีที่หลุ่มฝังศพเหล่านั้น
มีหลุมศพของ ซัยดฺ อิบนุ คอตตอบ ที่พวกเขาต่างก็ไปสักการะ เเละเตาวาฟให้กับหลุมศพนั้น
มีถ้ำอยู่เเห่งหนึ่ง ชื่อว่า คอร บินตุล อะมีร พวกเขากล่าวกันว่า เป็นสถานที่ลูกสาวของผู้นำท่านนึง ได้ถูกข่มขืน อัลลอฮ์จึงได้ตัดภูเขาเป็นสองซีก และให้มันเป็นถ้ำขึ้น ต่อมาผู้คนก็พาไปที่นั่น เพื่อนำสิ่งของไปบูชาเเก่เจ้าของผู้ดูเเลถ้ำ หมายถึง ญินและชัยฏอน
และยังมีเจดีย์ของนางฮาวา ในเมืองเจ็ดดะฮ์ ซึ่งมีความยาวถึงหนึ่งร้อยเมตร และมีสามโดม หลังหนึ่งอยู่ที่เท้า หลังนึงอยู่ที่สะดือ หลังนึงอยู่ศรีษะ พวกเขากล่าวว่า นี้คือ หลุมศพของพระนางฮาวา เพราะพวกเขารู้ว่าคนในยุคของท่านนบีอาดัมสูงมาก
ส่วนหลุมศพของท่านนบี ในยุคของเชคมุฮัมหมัดบินอับดุลวาฮาบ พวกเขาจะเอาเเก้มทั้งสองไปถูกับพื้นที่หลุมศพของท่านนบี ซอลลัลลอฮ์อาลัยฮิวะซัลลัม เพื่อขอให้ได้รับบะเราะกัตจากหลุมศพของท่านนบี
เชคมูฮัมหมัด บินอับดุลวาฮาบ ให้การดะวะฮ์พวกเขาจนกระทั่ง
“มูฮัมหมัด บิน ซาอูด” ขณะนั้นเป็นเจ้าเมืองดิรอิยะฮ์ กล่าวเเก่เชคมูฮัมหมัด บินอับดุลวาฮาบว่า “ฉันตอบรับการดะวะฮ์ของท่านเเล้ว”
เเล้วเชคก็กล่าวว่า “งั้นเราเเละท่านในฐานะกษัตริย์ มาร่วมกันเผยเเผ่เเนวทางนี้ และทำให้เเผ่นดินอาหรับให้เป็นหนึ่งเดียวด้วยบนเตาฮีด และสุนนะฮ์”
หลังจากที่ทั้งสองร่วมมือกัน การดะวะฮ์ก็เริ่มเเพร่กระจายไปรอบๆ จนเมืองเหล่านั้นกลายเป็น “ดินเเดนเเห่งเตาฮีด”
ซึ่งปัจจุบันผู้คนตามเมืองต่างๆ ยังยึดอิสลามและสุนนะฮ์
เมื่อเสียงอาซานดังขึ้น ร้านค้าทั้งหมดพร้อมใจกันปิด ด้วยกฏหมายของอิสลาม เพื่อให้ทุกคนได้ไปละหมาดโดยพร้อมเพรียงกัน
ซาอุดิอารเบียมีกฏหมายความเข้มงวดต่อสตรี
มีสถิติอาจญากรรมน้อยที่สุดในโลก ข่าวการค้ายาและการข่มขืนเเทบไม่ปรากฏ
ที่ซาอุดิอารเบีย ไม่โบสถ์คริส ไม่มีสุเหร่ายิว ไม่มีวัดซิกส์ มีเพียงมัสยิดเพื่อสักการะต่ออัลลอฮ์เท่านั้น