สภาพของแคว้นนัจญด์ และคาบสมุทรอารเบียในยุคของเชคมุฮัมมัด บินอับดุลวะฮาบเเละซาอุดิอารเบียยุคเเรก

สภาพของเเคว้นนัจญด์ และคาบสมุทรอารเบียในยุคของเชคมุฮัมมัด บินอับดุลวะฮาบ เเละซาอุดิอารเบียยุคเเรก [1]

เเผนที่ประเทศซาอุดิอารเบีย ในศตวรรษที่ 19 โดย R. Bayly Winder, MacMillan, 1965.

ในช่วงที่อาณาจักรออตโตมันมีอำนาจปกครองดินเเดนอาหรับ เเละเเผ่ขยายไปถึงอิยิปต์,ซีเรีย เเละอิรัค ในศตวรรษที่ 800 ตลอดช่วงเวลาที่พวกออตโตมันปกครองดินเเดนอาหรับ พวกเขาไม่เคยแผ่ขยายไปถึงนัจญด์เลย ซึ่งที่นั่นเป็นสถานที่เกิดเเละเติบโตของชัยคุลอิสลามมุฮัมมัด บินอับดุลวะฮาบ พวกเขาปกครองทั้งเมืองเเบกเเดดเเละบัสเราะฮ์ในอิรัค เเละได้เข้าใกล้เเคว้นนัจญ์มากที่สุดคือเมืองอะฮ์ซอ เมื่อปี ค.ศ. 1952 พวกเขาเคยมีกองทหารรักษาการตั้งอยู่ที่เมืองอัล-ฮุฟู้ฟ อย่างไรก็ตาม 8 ปีหลังจากนั้น ก็ถูกชาวเบดูอินจากชนเผ่าบะนูคอลิดขับไล่ออกไป ซึ่งเป็นเวลาเกือบ 100 ปี ก่อนเชคมุฮัมมัด บินอับดุลวะฮาบเกิด

อำนาจการปกครองในเเคว้นนัจญด์ มีการปกครองโดยชนเผ่าต่างๆ เป็นเวลานับร้อยปี โดยที่พวกเติร์กไม่เคยมีอำนาจไปถึงที่นั่น.ท่านอิบนุ บิชรฺ [2] นักประวัติศาสตร์และผู้รวบรวมอัตชีวประวัติของเชคมุฮัมมัด บินอับดุลวะฮาบ และเเคว้นนัจญ์, ได้ระบุถึงสถานที่กำเนิดของรัฐซาอุดิอารเบีย กล่าวถึงการตั้งถิ่นฐานเล็กๆ ในเมืองตูวัยน์ เเคว้นนัจญด์, ตั้งเเต่ปี ค.ศ. 1708 โดยมีผู้นำ 4 คน ต่างเเย่งชิงสิทธิ์ในการปกครองและไม่มีใครยอมใคร ดังนั้น พวกเขาจึงเเบ่งเเยกการปกครองออกเป็น 4 เเคว้น โดยเเต่ละคนได้ปกครองในเเต่ละเเคว้น ดังนั้น ผู้ที่อ้างว่าเชคมุฮัมมัด บินอับดุลวะฮาบ และอิหม่าม มุฮัมมัด บิน ซาอู้ด ผู้ปกครองราชอาณาจักรซาอุดิยุคเเรก ได้ร่วมกันก่อกบฏเเละยึดอำนาจจากอาณาจักรออตโตมัน ถือเป็นความเท็จเเละเป็นการบิดเบือนประวัติศาสตร์อย่างเเท้จริง

วิถีปฏิบัติที่ไม่ใช่อิสลาม และลัทธินอกรีตในยุคนั้น

มีพิธีกรรมนอกรีตมากมายเกิดขึ้นในเเคว้นดังกล่าว ทั้งการกราบใหว้หลุมศพคนตาย,การขอความช่วยเหลือจากคนตาย,และการเซ่นใหว้บูชาหลุมศพ [3]

“มีสุสานโดมขนาดใหญ่ของซัยดฺ บิน อั้ล-คอตต้อบ ในเมืองอั้ล-ญุบัยละฮ์ นับเป็นศาลเจ้าที่มีชื่อเสียงและมีผู้คนมากมายไปยังที่นั่นเพื่อขอให้เป็นสื่อกลางระหว่างพระเจ้า เเละขอความช่วยเหลือจากหลุมศพ ในเมืองอัดดิ้รอียะฮ์ ที่อยู่ใกล้กับเมืองรีย้าด มีหลุมศพที่อ้างกันว่าเป็นหลุมศพบรรดาศอฮาบะฮ์ของท่านนบี มีผู้คนต่างเดินทางมาจากทั่วสารทิศเพื่อมาเยี่ยมหลุมศพ เเละเเสวงหาการรักษา. ท่านอิบนุ ฆอนนาม [4] บันทึกว่า มีหมู่บ้านเล็กๆ ในเมืองอัลฟิดาอฺ มีต้นปาล์มเพศผู้ต้นหนึ่ง หญิงสาวที่ยังไม่เเต่งงานจะเข้าไปโอบล้อมเเละขอต่อต้นปาล์มต้นนั้นว่า “โอ้เจ้าต้นปาล์มเอ๋ย ฉันปรารถนาอยากมีสามี มิเช่นนั้น ฉันจะต้องเเห้งเเล้ง ไม่มีบุตร” พวกเขาใช้เวลาทั้งกลางวันเเละกลางคืน เพื่อขอความบารอกะฮ์จากต้นไม้นั้น ท่านอิบนุ ฆอนนาม ยังกล่าวอีกว่า มีต้นมะขามต้นหนึ่ง พวกเขาชอบนำชิ้นส่วนเสื้อผ้าของเด็กเเรกเกิดไปเเขวนบนต้นไม้นั้น และเชื่อว่ามันจะช่วยปกป้องจาก “หัตถ์เเห่งความตาย”

ใกล้กับเมืองริย้าดมีถ้ำขนาดใหญ่รู้จักกันในชื่อ “ฆ้อร บินตฺ อัล-อามี้ร” พวกเขาเชื่อกันว่ามันถูกเปิดออกโดยอัลลอฮ์ เนื่องจากว่ามีหญิงสาวบริสุทธิ์ได้ร้องขอความช่วยเหลือขณะที่กำลังโดนชายคนหนึ่งพยายามข่มขืนนาง – ผู้คนจะไปยังถ้ำนั้น พร้อมกับเอาเนื้อเเละขนมปังไปสักการะบูชา

ส่วนบริเวณชายฝั่งของทะเลเเดง ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ เป็นเมืองเจ้ดด๊ะ ผู้คนได้สร้างศาลเจ้าขึ้นมา ซึ่งอ้างว่า “อีฟ” มารดาเเห่งมนุษยชาติ, และภรรยาของท่านนบีอาดัม ถูกฝังอยู่ที่นั่น ศาลเจ้าเเห่งนี้ ประกอบด้วยโดมขนาดใหญ่ 3 หลัง มีความยาว 100 เมตร และ 50 เมตร กว้าง 4 เมตร เเละสูง 1 เมตร โดมนึงตั้งอยู่ที่ส่วนหัว อีกโดมนึงตั้งอยู่ที่สะดือ เเละอีกโดมนึงตั้งอยู่ที่เท้า โดยผู้ดูเเลหลุมฝังศพจะเก็บค่าเข้าชมได้เป็นจำนวนมากจากที่ผู้มาเยี่ยมหลุมศพนี้

ส่วนในเมืองมาดีนะฮ์อันประเสริฐ ผู้คนต่างเข้าไปกราบใหว้หลุมศพของท่านนบีมุฮัมมัด และนำฝุ่นมาถูเเก้ม พวกเขามาเฉลิมฉลองกันที่หลุมศพ เเละเเสวงหาการรักษาโรคจากหลุมศพของท่าน เช่นเดียวกับหลุมศพของบรรดาศอฮาบะฮ์ในกุโบร์บากิอฺ ใกล้กับมัสยิดนบี

นอกจากนี้ ในศตวรรษที่ 18 มีนักบุญตาบอดคนหนึ่งชื่อว่า “ทาจ บิน ชัมซาน” ในเมืองอัลคอรอจทางตอนใต้ มีผู้เลื่อมใสต่อเขาจำนวนมากต่างมาขอความช่วยเหลือ เเม้ตอนที่เขาเสียชีวิตไปเเล้ว ยังมีคนนำสัตว์มาเชือดพลีถวายเเก่เขา ผู้นำหมู้บ้านจะเกรงกลัวเขา และประกอบพิธีกรรมเพื่ออุทิศเเก่เขา โดยกล่าวกันว่า เขาสามารถเดินทางท่องไปตามเมืองต่างๆ จากเมืองอัลคอรอจ ไปยังดิ้รอี้ยะฮ์ ซึ่งมีระยะทางเกือบ 500 กม. โดยไม่มีใครนำทางทั้งที่เขาตาบอด นี่แหละคือสภาพเเวดล้อมที่เชคมุฮัมมัด บินอับดุลวะฮาบเกิดเเละเติบโตมา เป็นสภาพเเวดล้อมที่ห่างไกลจากทางนำจากในอัลกุรอาน เเละเเบบอย่างของท่านนบี

ชัยคุลอิสลามมูฮัมมัด บินอับดุลวาฮ์ฮ้าบ เจริญเติบโตมาในครอบครัวของผู้รู้และผู้พิพากษา บิดาของท่านเป็นหัวหน้าผู้พิพากษา(กอฏี) เช่นเดียวกับปู่ของท่าน และท่านได้ศึกษาความรู้กับอาของท่านซึ่งเป็นผู้รู้เช่นกัน. เชคมุฮัมมัด บินอับดุลวะฮาบสามารถท่องจำอัลกุรอานได้ก่อนอายุ 10 ปี และได้ศึกษาการอรรถาธิบายอัลกุรอาน(ตัฟซีร), ศาสตร์หะดีษ, นิติศาสตร์อิสลาม เเละศาสตร์อื่นๆ ของอิสลาม ท่านได้ศึกษาอย่างมากมายจนบางครั้งบิดาของท่านจะมาขอคำอธิบายในเรื่องต่างๆ ท่านได้เข้าศึกษาต่อที่ศูนย์เรียนรู้อิสลามของเมืองมาดีนะฮ์เเละเมืองบัสเราะฮ์ ในประเทศอิรัคกับผู้รู้อีกหลายท่าน

ในยุคนั้น เชคมุฮัมมัด บินอับดุลวะฮาบพยายามเขียนข้อความเพื่อโน้มน้าวผู้คนจากเผ่าต่างๆ ให้เลิกสู้รบกัน เเละเข้ามาอยู่ภายใต้ผู้นำเดียวกัน ซึ่งเขาโดนต่อต้านอย่างหนักจากเผ่าต่างๆ เเละผู้นำหมู่บ้าน ในช่วงปีเเรกๆ ส่งผลให้เกิดการปะทะเเละสู้รบกันอย่างมากมาย จนท้ายที่สุดอิหม่ามมุฮัมมัด บิน ซาอู้ด ก็สามารถรวมเเคว้นนัจญ์และเมืองอื่นๆ เข้ามาอยู่ใต้การปกครองของท่านสำเร็จ

_____

อ้างอิง หมายเหตุ :

1 ดูรายละเอียดเพิ่มในวารสารฉบับภาษาอังกฤษของ Rentz, George. S The Birth of the Islamic Reform Movement in Saudi Arabia, Muhammad b. ʿAbd al-Wahhāb (1703/4-1792) และ “the Beginnings of the Unitarian Empire in Arabia, Arabian Publishing, London 2004.

2 ดู Ibn Bishr, ʿUthmān bin ʿAbdullāh, ʿUnwān al-Majd fī Tārīkh Najd, in two volumes.


3 เป็นวิถีปฏิบัติของพวกซูฟีที่ยังมีอยู่อย่างมากมายทั่วโลกในปัจจุบัน โดยพวกเขาอ้างว่าเป็นวิถีอิสลาม เเต่ในความเป็นจริงขัดเเย้งกับเเบบอย่างของท่านนบี เเละบรรดาศอฮาบะฮ์ของท่าน

4 ดู Ibn Ghannām, Husain, Rawdatul-Afkār wal-Afhām li Murtād Hāl al-Imām wa Tiʿdād Ghazawāt Dhawil-Islām, in 2 volumes.

เรียบเรียงโดย อบูคอดียะฮ์ อับดุลวาฮีด
จากหนังสือ : “The Rise of Jihadist Extremism in the West”, Salafi Publications, Birmingham.
แปลโดย อบูจัสมิน
[24 มกราคม 2565]