ทฤษฎีบิ้กเเบงในอัลกุรอาน? [ตอนที่ 2]

สาร์นตักเตือนไปยังนักโต้แย้ง มุสลิมที่เอาทฤษฏีทางวิทยาศาสตร์มาอธิบายอัลกุรอาน [ตอนที่ 1]

เรียบเรียงโดย ดร.อบูอิย้าด อัมจ้าด รอฟิก
[วันที่ 3 กันยายน 2015]
แปลโดย อบูจัสมิน

เอาทฤษฏีทางวิทยาศาสตร์มาอธิบายอัลกุรอาน ได้หรือไม่?

จากคณะกรรมการถาวรฯ คำถามในเรื่องการใช้ “หลักการทางวิทยาศาสตร์” มาอ้างเพื่ออธิบายถึงความเกี่ยวข้องกันกับอายะฮ์อัลกุรอาน ซึ่งได้รับคำตอบจากฟัตวาดังกล่าวว่า :

“หากการอธิบายอัลกุรอานเป็นในลักษณะการอธิบายอายะห์ที่ว่า “บรรดาผู้ปฏิเสธมิได้มองดูหรือว่า ฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินเคยติดกัน แล้วเราได้แยกมันออกจากกัน และเราได้ให้ทุกชีวิตมาจากน้ำ” (อัลอัมบิยาอ์/30-ผู้แปล)

โดยอธิบายว่าเดิมนั้นโลกติดอยู่กับดวงอาทิตย์โดยเป็นส่วนหนึ่งของดวงอาทิตย์ จากการเหวี่ยงอย่างรุนแรงของมันทำให้โลกหลุดออกมา ต่อมาผิวนอกเย็นลงแต่คงความร้อนในใจกลาง และกลายเป็นหนึ่งจากดาวบริวารของอาทิตย์ที่โคจรรอบอาทิตย์ในที่สุด

หากเป็นการอธิบายลักษณะนี้แล้ว ก็ไม่สมควรจะอ้างอิงและยึดถือได้

ทำนองเดียวกันกับการอธิบายอายะห์ที่ว่า “เจ้าเห็นขุนเขาโดยคิดว่ามันหยุดนิ่ง (ตามจริงแล้ว) มันเคลื่อนตัวดุจการเคลื่อนตัวของเมฆ” (อัลนัมล์/87-ผู้แปล) โดยเอามาอ้างอิง การหมุนโคจรของโลก

การอธิบายทำนองนี้ คือการบิดเบือนคำพูดให้ออกไปจากความเดิมของมัน และทำให้อัลกุรอานต้องมาสยบอยู่ภายใต้ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์

อันว่าทฤษฎีมันก็แค่การคาดการณ์ คาดเดา และการจิตนาการเท่านั้น
และ การอธิบายใดๆ ที่อิงความเห็นใหม่ๆ โดยมิได้มีพื้นฐานมาจากกิตาบุลลอฮ์ สุนนะฮ์ และคำอธิบายของสะลัฟ ในนั้นคือการกล่าวถึงอัลลอฮ์โดยปราศจากความรู้

วะบิลลาฮิตเตาฟีก วะศ้อลลัลลอฮุอะลานบียินามุฮัมหมัด วะอะลาอาลิฮิ วะเศาะห์บิฮี วะซัลลัม”

[ที่มา : (ฟัตวาคณะกรรมการถาวรฯ (4/145) – อ.อิสหาก พงษ์มณี แปล – ]

เชคอัล-อุษัยมีน ได้ตอบคำถามในเรื่องการอรรถาธิบายอัลกุรอาน ด้วยทฤษฏีวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ว่า “เป็นสิ่งที่ไม่อนุญาต “ ท่านได้กล่าวว่า “การอรรถาธิบายอัลกุรอาน ด้วยทฤษฏีทางวิทยาศาสตร์เป็นสิงที่อันตราย ถ้าหากเราอรรถาธิบายอัลกุรอานด้วยทฤษฏีนั้น แล้วเกิดมีทฤษฏีอื่นเข้ามาทำลายทฤษฏีนั้น นั้นก็จะทำให้อัลกุรอานเป็นโมฆะไปด้วยในสายตาของศัตรูอิสลาม ส่วนในมุมมองของมุสลิมเขาก็กล่าวว่าเป็นความผิดพลาดที่มาจากความคิดของคนที่มาอธิบายอัลกุรอาน แต่สำหรับศัตรูอิสลามพวกเขาจ้องจะเล่นงานอยู่เเล้ว”

[ที่มา : Kitāb al-ʿIlm (p. 105) คำถามที่ 49.]

และเชคซอลิหฺ อัลเฟาซาน กล่าวภายหลังการตอบโต้ผู้ที่อธิบายอัลกุรอาน โดยไม่ได้อยู่ในกรอบของอัลกุรอาน เเละสุนนะฮ์ ความว่า

“มีนักเขียนที่โง่เขลามากมาย ที่กระทำกันในทุกวันนี้ พวกเขาได้อธิบายอัลกุรอานด้วยความเข้าใจของตัวเอง และด้วยความคิดเห็น หรือการที่พวกเขาธิบายอัลกุรอานด้วยทฤษฏีทางการเเพทย์, ทฤษฏีทางดาราศาสตร์ หรือทฤษฏีของพวกนักดาราศาสตร์ และเรียกสิ่งนี้ว่า “ความมหัศจรรย์ทางวิทยาศาสตร์ในอัลกุรอาน”

นี่เป็นสิ่งที่ “อันตรายมาก” และเป็นการเล่าความเท็จ แม้ว่าบางคนที่พลาดพลั้งไปด้วยเจตนาที่ดีและต้องการพูดถึงสถานะของอัลกุรอานในเช่นนี้ก็ตาม ถึงอย่างไรการกระทำเช่นนี้ “ไม่เป็นที่อนุญาต” ”

[จากบทความชื่อ “ข้อชี้ขาดในเรื่องการอธิบายอัลกุรอานด้วยทฤษฏีวิทยาศาสตร์ยุคใหม่” ในมะญัลละตุด ดะอ์วะห์ วันที่ 21 มุฮัรรอม ค.ศ.1415]

จากคำพูดของนักวิชาการร่วมสมัยที่กล่าวมานั้น ไม่ได้หมายความว่าไม่มีมุมมองอื่นที่จะมาชี้ให้เห็นว่าอัลกุรอานนั้นเป็นสิ่งที่มาจากพระเจ้า ซึ่งเราสามารถสังเกตได้จากสัญญานต่างๆ จากปรากฏการที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา และในตัวเราเอง [8] ความจริงเเล้ว อัลกุรอานเป็นทางนำเเก่มนุษย์ทั้งหมด โดยไม่มีข้อยกเว้น

ข้อชี้เเจง

1- การอธิบายอัลกุรอาน ด้วยช่องทางที่เหมาะสม อธิบายตามคำกล่าวของศอฮาบะฮ์ และบรรดาลูกศิทย์ของท่านเหล่าน้ัน และหากว่ามันเป็นความรู้ทางวิทยาศาสตร์ด้วยก็ถือว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมกับคำอธิบายดังกล่าว

2- การใช้ความรู้ในเรื่องวิทยาศาสตร์เป็นหลักในการอธิบายอัลกุรอาน
และเอาการค้นพบดังกล่าวมาอ้างเป็น “ความหมายที่เเท้จริง” ซึ่งวิธีการเเบบนี้ เราเคยพบในการกระทำของ อับดุลมาญิด อัล-ซินดานีย์ และคนอื่นๆ

และจากคำพูดของอุลามะอ์ ได้เตือนให้ระวังการใช้คำกล่าวอ้างต่างๆ หรือการเอาทฤษฏีต่างๆ มาอธิบายอัลกุรอาน เนื่องจากจะนำไปสู่การกล่าวเท็จให้กับอัลลอฮ์ -ซุบฮานะฮูวะตะอาลา- เป็นการกล่าวในสิ่งที่อัลลอฮ์ ไม่ได้บอกใว้ หรือพระองค์หมายถึงอย่างนั้น

ปัญหาสำคัญนั้นก็คือ คนที่พูดในเรื่องนี้ส่วนใหญ่ มิใช่ผู้มีมีความรู้จริงๆ เพียงเเค่รับข้อมูลมาอีกที่ (the second approach) ยังมิได้เข้าถึงเจตนาที่เเท้จริงในสมมุติฐานของพวกเอทิสต์

พวกเขายังไม่รู้ว่าจริงๆ เเล้วสิ่งที่พวกเขานำมาอ้างกัน หรือยืนยันกันนั้น มันคือ “ข้อเท็จจริง” หรือเป็นเพียง “การคาดเดา” พวกเขายังไม่เข้าใจถึงปัญหาต่างๆ เพียงเเค่คาดเดากันเอาเอง จากที่สิ่งที่ได้พบมา

[ 4- อัลลอฮ์ -ซุบฮานะฮูวะตะอาลา- กล่าวถึงปรากฏการณ์ต่างๆ ซึ่งทุกคนสามารถมองเห็น เเละประสบได้ด้วยตัวเอง ไม่ว่าการหมุนเวียนสับเปลี่ยนระหว่างกลางวัน เเละกลางคืน, ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์, ดวงดาว, ลม, ฝน, น้ำทะเล, การสร้างสิ่งมีชีวิตมาเป็นคู่ เเละการกำเนิดชีวิตใหม่, สัตว์ต่างๆ ที่มาเป็นอาหาร ยานพาหนะ และเครื่องนุ่งห่ม และสิ่งต่างๆ มากมายที่เกิดขึ้นบนโลกนี้ ล้วนเป็นสัญญานที่ชี้ให้เห็นถึงความเมตตาเเละความโปรดปราณของพระองค์ สัญญาณเหล่านี้ มนุษย์ทุกคนสามารถเข้าใจได้

เป็นที่น่าผิดหวัง สำหรับนักโต้เเย้งมุสลิม ที่พวกเขาได้อ่านอายะฮ์เหล่านี้อย่างมากมาย แต่กลับเดินออกจากความชัดเจน และเจตนาของมันที่ชัดเเจ้งยุเเล้ว กลับตีความ ยึดแค่บางคำของอายะฮ์อัลกุรอาน ใช้กลเม็ดทางภาษา และอ้างว่านั่นเป็น “วิทยาศาสตร์ที่ไม่มีใครรู้มาก่อน” หากต้องการคำอ้างนั้นมีความน่าเชื่อถือ พวกเขาจะต้องอ่านผลงานทุกชิ้น ที่เขียนขึ้นในพันปีจากประวัติศาสตร์ ที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์และการค้นพบทั้งหมด เพื่อยืนยันคำอ้างดังกล่าว ซึ่งเป็นไปไม่ได้!.

นักโต้เเย้งมุสลิมที่อ้างแบบจำลองบิ๊กแบง

พวกนักโต้เเย้งมุสลิม ที่ปรากฏในคลิปบรรยาย เผยเเพร่ทางเว็ปไซต์ยูทิวบ์

ซากิร ไนค์ กล่าวว่า “… ลองถามคำถามเหล่านี้กับพวกเขา พวกเอทิสต์ก็จะบอกเราว่า จักรวาลนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร

พวกเอทิสต์จะบอกเราว่าในภาวะเเรกเริ่มเดิมทีจักรวาลนี้ ยังอยู่ในลักษณะของเนบิวลา จากนั้นเกิดการระเบิดครั้งใหญ่ขึ้น ซึ่งช่วงที่สองนี้ทำให้เกิดเป็นกาเเลกซี่ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และโลกที่เราอาศัยอยู่ ซึ่งเราเรียกสิ่งนี้ว่า “บิ๊กแบง”

เเล้วคุณรู้เรื่องการเกิดจักรวาลนี้เมื่อใหร่กัน ? เเล้วพวกเอทิสต์จะบอกคุณว่า ประมาณ 30-40 ปีที่เเล้ว เเต่สิ่งที่คุณกำลังพูดเกี่ยวกับบิ๊กแบงนั้นมีอยู่ในอัลกุรอานมาก่อนเเล้ว ในซูเราะฮ์อัน อัมบิยาอฺ อายะฮ์ที่ 30 ซึ่งกล่าวว่า “และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเหล่านั้นไม่เห็นดอกหรือว่า แท้จริงชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินนั้นแต่ก่อนนี้รวมติดเป็นอันเดียวกัน แล้วเราได้แยกมันทั้งสองออกจากกัน ”

สิ่งที่คุณกำลังพูดเกี่ยวกับบิ๊กแบงนั้นมีอยู่ในอัลกุรอานมาเมื่อ 1400 เเล้ว!” ใครจะสามารถพูดเรื่องนี้ได้บ้างในตอนนั้น ?”

ซากิร ไนค์ พูดซ้ำๆ แบบนี้ในบรรยายอื่นอีกด้วย เขากล่าวว่า “ในด้านจักรวาลวิทยา เมื่อไม่นานมานี้นักวิทยาศาสตร์ได้อธิบายการเกิดจักรวาล พวกเขาเรียกมันว่า บิ๊กแบง พวกเขากล่าวว่า จักรวาลในช่วงเเรกเริ่มนั้นอยู่สภาวะเนบิวลา ต่อมามันได้เเยกด้วยการระเบิดครั้งใหญ่ ทำให้เกิดกาเเลกซี่ ดวงดาวต่างๆ ดวงอาทิตย์และโลกที่เราอาศัยอยู่ ข้อมูลนี้ปรากฏอยู่ในอัลกุรอาน ในซูเราะฮ์อัน อัมบิยาอฺ อายะฮ์ที่ 30 ซึ่งกล่าวว่า “และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเหล่านั้นไม่เห็นดอกหรือว่า แท้จริงชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินนั้นแต่ก่อนนี้รวมติดเป็นอันเดียวกัน แล้วเราได้แยกมันทั้งสองออกจากกัน ” ลองคิดดู ข้อมูลนี้เราเพิ่งรู้เอง เเต่อัลกุอ่านกล่าวใว้เมื่อ 1400 มาเเล้ว”
[ดู : https://www.youtube.com/watch?v=muf4W1I7NSw.]

220px-Dr_Zakir_Naik
ซากิร ไนค์ นักบรรยายจากประเทศอินเดีย เจ้าของมูลนิธิ IRF และช่อง Peace  TV

Zaghloul el-Najjār (นักวิชาการช่อง Huda TV) อ้างว่าอัลกุรอานได้ทำให้ แบบจำลองบิ๊กแบงที่ยังเป็นทฤษฏีให้เปลี่ยนสถานะเป็นข้อเท็จจริง เขากล่าวว่า “ดังนั้นเราในฐานะมุสลิมสามารถยกสถานะของของทฤษฏีบิ๊กแบง ไปสู่ข้อเท็จจริงได้ เพราะว่าสิ่งนี้ปรากฏอยู่ในอัลกุรอาน”
[ดู : https://www.youtube.com/watch?v=b3GIPZfqd0Y นาทีที่ 7:40.]

mqdefault
Zaghloul el-Najjār

ฮะรูน ยะฮ์ยา ได้เขียนว่า “ในมุมมองอื่นๆ ที่สำคัญ ที่อัลกุรอานเปิดเผยใว้เมื่อศรรตวรรษที่ 14 ก่อนที่วิทยาศาสตร์ยุคใหม่เพิ่งมาค้นพบ และเราพบว่ามันสัมพันธ์กัน ซึ่งจักรวาลเริ่มเเรกมีขนาดเล็กมาก อัลกุรอาน กล่าวว่า “และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเหล่านั้นไม่เห็นดอกหรือว่า แท้จริงชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินนั้นแต่ก่อนนี้รวมติดเป็นอันเดียวกัน แล้วเราได้แยกมันทั้งสองออกจากกัน ”
[ในหนังสือ “การสร้างจักรวาล สำนักพิมพ์ อั้ล-อะติ๊ก ปี ค.ศ. 2000 หน้าที่ 28]

800px-Adnan_oktar_03
หะรูน ยะห์ยา หรืออัดนาน ออกต้าร

นุวมาน อาลีคาน กล่าวว่า “ดังนั้น อายะฮ์ที่กล่าวว่า ท้องฟ้าเเละโลกเคยรวมกันมาก่อน และเราได้เเยกมันออกจากกัน นั้นหมายถึง จักรวาลในช่วงเริ่มต้น รวมเป็นเนื่อเดียวกัน อยู่ในรูปแบบของสสารชนิดเดียวกัน และจากนั้นมันได้เเยกออกจากกัน และคำว่าต่อมา คือมันได้แผ่ขยายไปไกล และกว้างขวาง ซึ่งมันไกล้เคียงมาก ใกล้เคียงสุดๆ ใกล้เคียงกันอย่างน่าทึ่ง กับทฤษฏีบิ๊กแบง”

[ดู : https://www.youtube.com/watch?v=rjgOEGSCWpc.]

อ่านต่อ -> ทฤษฎีบิ้กเเบงในอัลกุรอาน? [ตอนที่ 3]