“ใครคือ อะฮ์ลุ้ลหะดีษ”
โดยเชคอบูคอดียะฮ์ จากมักตะบะฮ์สะละฟียะฮ์
เว็ปไซต์ : www.abukhadeejah.com
แปลโดย อบูจัสมิน [18 เมษายน 2564]
อิหม่าม อัล-บุคอรีย์ กล่าวว่า “ฉันใช้เวลา 46 ปี เพื่อเเสวงหาหะดีษ และรวบรวมจนได้เป็น “ศอฮีฮ์อัลบุคอรีย์” และฉันได้เจอกับอุลามะอ์นับพัน และรับเอาหะดีษจากพวกเขา” ด้วยเหตุนี้ อิหม่ามอัลบุคอรีย์ จึงถูกพิจารณาว่าเป็นนักรวบรวมหะดีษของศาสนทูตของอัลลอฮ์ -ศ้อลัลลอฮุอาลัยฮิวะซัลลัม- ผู้ยิ่งใหญ่
ดังนั้น จึงชัดเจนว่าหากเราพูดถึง “อะฮ์ลุ้ลหะดีษ” นั้น ก็จะหมายถึงอะฮ์ลุ้ลหะดีษเเห่งสะลัฟอุมมะฮ์ คือบรรดาศอฮาบะฮ์ -รอฎียันลอฮุอันฮุม- ท่านเหล่านั้นก็คืออะฮ์ลุ้ลหะดีษ และคือบรรดาตาบิอีน ผู้ดำเนินตามบรรดาศอฮาบะฮ์ ทั้งด้านความรู้และการปฏิบัติ ตามหะดีษของท่านนบี -ศ้อลลัลอฮุอาลัยฮิวะซัลลัม ดังนั้น พวกเขาล้วนเป็นอะลุ้ลหะดีษ
และคือตาบิอิต ตาบิอีน ผู้ดำเนินตามวิถีทางของบรรดาศอฮาบะฮ์ สอดคล้องกับหะดีษของท่านนบี -ศ้อลลัลอฮุอาลัยฮิวะซัลลัม- เมื่อมีผู้ถามท่านว่า ใครคือประชาชาติที่ดีเลิศที่สุด ท่านตอบว่า (คือ)ฉัน เเละผู้ที่ดำรงมั่นอยู่พร้อมกับฉัน เเละผู้ที่ปฏิบัติตามฉันหลังจากนั้น และผู้ที่ปฏิบัติตามฉันหลังจากนั้น สามรุ่นอายุ และท่านยังได้กล่าวในรายงานอื่นว่า ประชาชาติที่ดีเลิศที่สุด คือคนในยุคของฉัน จากนั้นคือรุ่นที่ถัดจากพวกเขา และอีกรุ่นถัดจากพวกเขา
ดังนั้น นี่คือประชาติที่ดีเลิศที่สุดในหมู่มนุษย์ ถัดจากท่านนบี -ศ้อลลัลลอฮุอาลัยฮิวะซัลลัม- พวกเขาคือบรรดาศอฮาบะฮ์ และรุ่นที่มาถัดจากท่านเหล่านั้น(ตาบิอีน) เเละอีกรุ่นที่ถัดจากอีกท่านเหล่านั้น(ตาบิอิต ตาบิอีน)
ถัดจากนั้นก็คือยุคเเห่ง “อะอิมมะตุ้ลฮุดา” -ยุคอิหม่ามเเห่งทางนำ- ท่านเหล่านี้ ได้เเก่ อิหม่ามมาลิก (เสียชีวิตปีฮ.ศ.179), อิหม่ามอัชชาฟิอีย์(เสียชีวิตปีฮ.ศ.204), อิหม่ามซุฟยาน อัษเษารีย์(เสียชีวิตปีฮ.ศ.161) อิหม่ามอัซซุฮ์รีย(เสียชีวิตปีฮ.ศ.124) อิหม่ามอัลเอาซาอีย์ (เสียชีวิตปีฮ.ศ.157), อิหม่ามอะหมัด อิบนุฮัมบัล (เสียชีวิตปีฮ.ศ.241) เเละท่านอื่นๆ เฉกเช่นพวกเขา
ถัดจากนั้นก็คือยุคเเห่ง “อะอิมมะตุ้ลหะดีษ” -อุลามะอ์ผู้รวบรวมหะดีษ- ได้เเก่ ผู้รวบรวมเศาะฮ์ทั้งสอง อิหม่ามบุคคอรีย์ และอิหม่ามมุสลิม, ผู้รวบรวมสุนัน ท่านอบูดาวูด และท่านติรมีย์ซีย์ ท่านอิบนุมาญะฮ์ ท่านนาซาอีย์ และผู้ยิ่งใหญ่ในการรวบรวมหะดีษอีกท่านคือ ท่านอิบนุคูซัยมะฮ์, ท่านอิบนิชัยบะฮ์ ผู้รวบรวมมุซันนัฟ นี่คือผู้ที่ฉันกล่าวถึงหากกล่าวถึงอะฮ์ลุลหะดีษ ฉันจะไม่อ้างถึงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่ตั้งชื่อกลุ่มกันขึ้นมาเอง
บรรดาอะฮ์ลุ้ลหะดีษ เเละผู้ใดคือตามที่ปฏิบัติตามเเนวทางของพวกเขาในทุกยุคสมัย ท่านเหล่านี้คือ “ฏออิฟะฮ์ มันศูเราะฮ์” -กลุ่มชนที่ได้รับการช่วยเหลือ- พวกเขาคือผู้ที่ยืนหยัดบนสัจธรรม ในทุกยุคสมัย ดังที่นบีได้กล่าวว่า “จะยังมีชนกลุ่มหนึ่งจากอุมมะฮ์ของฉัน ที่ยังยืนหยัดอยู่บนสัจธรรม พวกเขาได้รับการช่วยเหลือจากอัลลอฮ์ -ซุบฮานะฮูวะตะอาลา- ไม่มีใครทำอันตรายเเก่พวกเขาได้ (จากพวกที่ขัดเเย้งเเละไม่เห็นด้วย) พวกเขาจะยืนหยัดไปจนกระทั่งพระบัญชาของอัลลอฮ์จะมาถึง” ซึ่งอุลามะอ์ได้อธิบายในหลายความหมายด้วยกัน บ้างก็อธิบายจนกระทั่ง การลงมาของอีซา อิบนุ มัรยัม พวกเขาจะยืนหยัดบนแนวทางนั้น ไปจนถึงเวลานั้น อุลามะอ์บางท่านก็อธิบายจนกระทั่งวิญญาณของพวกเขาถูกนำกลับไป พวกเขาคือกลุ่มชนที่ได้รับการช่วยเหลือ
ชาวหะดีษ พวกเขาคือ “สะละฟียูน” พวกเขาพาดพิงตัวเองไปยังสะละฟีย์ ไม่ใช่เพียงเเค่ชื่อเท่านั้น เเต่สะละฟีย์ คือ อะฮ์ลุ้ลหะดีษ,อะฮ์ลุ้ลอะษัร, คือผู้ที่ยึดมั่นในสายธารผู้รายงานหะดีษของท่านนบี -ศ้อลลัลลอฮุอาลัยฮิวะซัลลัม- และบรรดาศอฮาบะฮ์ พวกเขาคือ “ผู้สัจจริง” ในทุกยุค ทุกสมัย เเละเป็นผู้ยืนหยัดบนทางนำนั้น พวกเขาไม่ก่ออุตริกรรมขึ้นในศาสนา เเละพวกเขาไม่เฉไฉไปจากสิ่งที่ศอฮาบะฮ์ดำรงมั่นอยู่
เรื่องราวของศอฮาบะฮ์ ความรู้ของพวกเขา มิใช่ทินานกล่อมนอน ที่พร่ำสอนกันเเต่ความกล้าหาญของพวกเขา เพราะนั่นเป็นเเนวทางของพวกบิดอะฮ์ เพราะพวกบิดอะฮ์ทำให้เรื่องราวของศอฮาบะฮ์เป็นเพียงนิทานก่อนนอน ในขณะที่อะลุ้ซสุนนะฮ์ วั้ญญะมาะอะฮ์, ชาวหะดีษ,ชาวสุนนะฮ์ พวกเขาศึกษาวิถีชีวิตของบรรดาศอฮาบะฮ์ เพื่อจะได้ยึดเป็นแบบอย่าง และปฏิบัติตามพวกเขา
ดังที่อิหม่ามอะหมัด กล่าวว่า “รากฐานของสุนนะฮ์ (หมายถึงรากฐานของผู้ศรัทธา) สำหรับพวกเรา คือการยึดมั่น ในสิ่งที่บรรดาศอฮาบะฮ์ของท่านบี -ศ้อลลัลลอฮุอาลัยฮิวะซัลลัม- ยึดถือกัน เเละนำมันมาเป็นแบบอย่าง, ละทิ้งทุกบิดอะฮ์ และทุกๆ บิดอะฮ์คคือความหลงผิด”
นี่คือเเนวทางที่ฉัน[อบูคอดียะฮ์]กล่าวถึง หมายถึงอิหม่ามอัลบุคอรีย์ เเละผู้ดำเนินตามเเนวทางของอิหม่ามอัลบุคอรีย์ ,อิหม่ามอะหมัด อิบนุ ฮัมบัล, อิหม่ามมาลิก อิบนุ อะนัส, อิหม่ามชาฟิอีย์, อิหม่ามอิบนุ เอาฟ์, อิหม่ามซุฮ์รีย์, อิหม่ามมุฮัมหมัด อิบนุ ซีรีน, หะซัน อั้ล บัศรีย์, เเละเเนวทางของผู้ที่มาก่อนพวกเขา ท่านอบูฮูรอยเราะฮ์ -รอฎียันลอฮุอันฮุ-, อิบนุ อุมัร, อิบนุ อับบาซ, อบูซาอี้ด อัลคุ้ดรีย์, อุมมซาละมา,อะอิชะฮ์ -รอฏิยันลอฮุอันฮุม อัจมาอีน –
นี่คือเเนวทางเเห่งสุนนะฮ์สะละฟียะฮ์และหะดีษ ไม่มีใครมีสิทธิ์เรียกตัวเองด้วยชื่อเหล่านี้ จนกว่าเขาจะเดินตามเเนวทางนี้อย่างเเท้จริง ทั้งด้านความเชื่อ, มันฮัจญ์,อิบาดะฮ์, และทางนำของเขา จึงเหมาะสมที่จะได้รับสมญานามนี้
มิใช่เพียงอ้างตนว่าเป็นชาวอะลุสสุนนะฮ์, อะฮ์ลุ้ลหะดีษ หรืออ้างว่าเป็นสะละฟีย์ หากอ้างตนว่าเป็นสุนนีย์ ก็ต้องยึดมั่นในสุนนะฮ์ของบรรดาศอฮาบะฮ์ด้วย -รอฎิยันลอฮุอันฮุม- ดังที่นบีได้กล่าวว่า “พวกท่านจงยึดมั่นในสุนนะฮ์ของฉัน และสุนนะฮ์ของศอฮาบะฮ์ผู้ได้รับทางนำหลังจากฉัน และจงยึดมัน(ราวกับ)กัดด้วยฟันกราม” นี่คือเเนวทางของบรรดาศอฮาบะฮ์ และผู้ดำเนินตามพวกเขาในทุกยุคทุกสมัย พวกเขาคือผู้เหมาะสมที่จะได้รับสมญานามนี้
เราพบว่าผู้คนมากมายในปัจจุบัน ยังอยู่บนความมืดมิด เเละกำลังมองหาทางนำ ซึ่งทางนำอยู่ตรงนี้เเล้ว ศาสนานี้ไม่เคยสูญหายไป ความบริสุทธิ์ยังคงมีอยู่ไม่เคยสูญสิ้น ด้วยเหตุนี้ท่านนบี จึงกล่าวว่า “จะยังคงมีอยู่จากประชาชาติของฉัน ผู้ที่ยืนหยัดบนสัจจธรรม” และท่านนบี กล่าวว่า “ฉันได้ทิ้งใว้เเก่พวกท่าน ซึ่งหลักฐานอันชัดเเจ้ง กลางคืนอันเจิดจรัส ราวกับกลางวัน” ไม่มีความมืดมิดใดในศาสนาอิสลามนี้ เเม้ผู้คนส่วนมากจะสับสน จะหลงผิด หรือมองไม่เห็น พวกเขามองไปรอบๆ เเละกล่าวว่า ใหนหละทางนำ ใหนหละสุนนะฮ์
ทุกคนล้วนอ้างว่าอยู่บนสัจจธรรม เเล้วอะไรคือสัจธรรม?
ก็จงเปิดดูตำราอะกีดะฮ์ของชนสะลัฟยุคเเรก ซึ่งเป็นตำราเเห่งความศรัทธา,ตำราเเห่งหะดีษ จงเปิดตำราของอุลามะอ์ที่ฉันได้กล่าวไป รวมทั้งท่านอื่นๆ แล้วท่านก็จะพบกับสัจธรรม ส่วนการเปิดอ่านตามวารสารในทุกวันนี้ หรือเปิดตามยูทูป ท่านก็มักจะพบเเต่พวกหลงผิด
จงจดจำไว้ว่ามีคนมากมายที่เรียกร้องไปสู่ความหลงผิด,ความผิดบาป,เเนวทางบิดอะฮ์, อะกีดะฮ์ที่เสียหาย คนเหล่านี้มีมากกว่าผู้เรียกร้องไปสู่สัจธรรม มีเส้นทางมากมายที่ชักชวนไปสู่ความหลงผิด ในขณะที่เส้นทางพาไปสู่ความสำเร็จนั้นมีทางเดียวเท่านั้น ดังที่อัลลอฮ์ -ซุบฮานะฮูวะตะอาลา- ตรัสว่า นี่คือทางที่เที่ยงตรงของฉัน (พระองค์พูดในรูปของเอกพจน์) และอย่าได้เดินตามทางเฉไฉอื่นๆ (ซึ่งเป็นพหูพจน์) ดังนั้น ทางนำของอัลลอฮ์มีหนึ่งเดียวเท่านั้น เเละเป็นเเนวทางที่เที่ยงตรง ส่วนเเนวทางที่เรียกร้องไปสู่ความหลงผิดนั้นมีมากมาย