รอฟิเฎาะฮ์มีความเชื่ออย่างไรต่อชาวสุนนีย์ (อะฮ์ลิสสุนนะห์ วัลญะมาอะห์) ?
จากหนังสือความเชื่อบางประการของชีอะห์
อับดุลลอฮ์ บิน มุหัมมัด อัล สะละฟีย์ เขียน
อบู หะสัน แปล
รอฟิเฎาะฮ์ ถือว่า สมบัติและเลือดของชาวสุนนีย์ เป็นที่อนุมัติให้ยึดและหลั่งได้ อัล ศอดูก ได้บันทึกในหนังสือ อัลอิลัล รายงานจาก ดาวูด บิน ฟิรก็อด ว่า : ฉันได้ถามอบู อับดิลลาฮ์ ถึงพวกสุนนีย์ว่า ท่านมีความเห็นอย่างไร ? ท่านตอบว่า :เลือดนั้นหลั่งได้ แต่ฉันกลัวท่านจะถูกทำกลับเช่นเดียวกัน ดังนั้นให้ท่านใช้วิธีกลบด้วยกำแพง หรือจมพวกเขาในทะเล เพื่อมิให้ท่านถูกจับได้. ฉันถามต่อว่า : แล้วสมบัติของพวกเขา ? ท่านตอบว่า : เท่าใดที่ท่านเอาได้ก็จงเอามันมา [1]
รอฟิเฎาะห์มองว่าทารกที่เกิดมาจากพวกเขาล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่สำหรับผู้อื่นนั้นมิใช่ ฮาชิม อัลบะห์รอนีย์ ได้บันทึกในหนังสือของเขา อัล บูรฮาน รายงานจาก มัยษัม บิน ยะห์ยา จากญะฟัร บิน มุหัมมัด ว่า “ไม่มีผู้ใดที่เกิดมานอกเสียจาก อิบลิสจะอยู่ด้วยในขณะนั้น หากเขารู้ว่าทารกที่เกิดมานั้นเป็นชีอะห์ เขาก็จะสกัดกันทารกนั้นจากมารร้ายชัยตอน ถ้าหากทารกนั้นไม่ใช่ชีอะห์ อิบลิสก็นำนิ้วชี้ของเขาไปอัดในทวารหนักของทารกที่เป็นเพศชาย เนื่องจากด้านหน้าเป็นอวัยวะเพศไม่สามารถจะอัดนิ้วได้ เหตุผลเพื่อจะทำให้ทารกนั้นเป็นคนไม่ดี และหากเป็นเพศหญิงก็จะอัดนิ้วชี้ของเขาในอวัยะเพศเพื่อให้ทารกนั้นเป็นคนเลว ด้วยเหตุนี้เองทารกจึงร้องให้อย่างรุนแรงในขณะที่เกิดมาจากท้องแม่[2]
จนกระทั่งชีอะห์รอฟิเฎาะห์ถือว่ามนุษย์ทุกคนที่เกิดมานั้นเป็นลูกซินา(เกิดจากการผิดประเวณี)!! อัลกุลัยนีย์ ได้บันทึกในหนังสือของเขา อัรเราเฏาะฮ์ มิน อัลกาฟีย์ รายงานจาก อบูหัมซะห์ จาก อบู ญะฟัร กล่าวว่า : “ฉันได้บอกแก่ อบู ญะฟัรว่า แท้จริง สหายของพวกเราบางคนได้กล่าวและตำหนิแก่ผู้ที่ขัดแย้งกับพวกเขา” อบู ญะฟัร ก็ได้ตอบฉันว่า : เพียงพอแล้วในสิ่งที่ดีที่สุดของพวกเขา และพูดต่ออีกว่า : ฉันขอสาบานด้วยอัลลอฮ์!! โอ้ อบู หัมซะห์ แท้จริงแล้วมนุษย์ทั้งหมดเป็นบุตรของหญิงที่ซินา(ผิดประเวณี) นอกเสียจากชีอะห์ของเราเท่านั้น”[3]
นอกจากนี้ ชีอะห์รอฟิเฎาะฮ์ยังมองว่า ชาวสุนนีย์นั้นตกศาสนาอย่างต่ำช้ากว่าพวกยิวและคริสต์ เพราะยิวและคริสต์นั้นเป็นกาฟิรโดยดั้งเดิม ในขณะที่ชาวสุนนีย์ เป็นพวกที่ตกศาสนาหลังจากที่เคยนับถือมาก่อน ประการหลังเป็นที่ยอมรับกันว่า โสมมกว่าประการแรก ดังนั้นพวกชีอะห์รอฟิเฎาะห์จึงไม่นิ่งเฉยที่จะให้ความช่วยเหลือศัตรู เพื่อล้มล้างชาวสุนนีย์ ดังที่เห็นเป็นประจักษ์พยานในประวัติศาสตร์ [4]
ในหนังสือ “วะสาอิล อัชชีอะห์” จาก อัล ฟุฎัยล์ บิน ยะสาร กล่าวว่า : ฉันได้ถาม อบู ญะฟัร ถึงสตรีชีอะห์ว่าฉันสามารภสมรสเธอให้กับสุนนีย์ได้ไหม? ท่านตอบว่า : ไม่ได้ เพราะพวกนี้เป็นกาฟิร [5]
ชาวสุนนีย์ เรียกพวกที่เกลียดชังท่านอาลี บิน อบี ตอลิบ ว่าเป็น นะวาศิบ แต่พวกชีอะห์กลับเรียกชาวสุนนีย์ว่าเป็น นะวาศิบเสียเอง ด้วยเหตุที่ชาวสุนนีย์ ยอมรับการเป็นอิมามของท่าน อบู บักร, อุมัร และอุษมาน ก่อนท่านอาลี พร้อมกับการยกย่อง อบูบักร, อุมัร และ อุษมาน เหนือกว่าอาลี ในสมัยของท่านท่านรสูล ศ็อลลัลลอฮ์ อะลัยฮิวะสัลลัม ยังมีชีวิต หลักฐานในเรื่องนี้ก็คือ อิบนุ อุมัร ได้รายงานว่า : พวกเราได้ยกย่องบรรดาผู้คนในสมัยของท่านรสูล ศ็อลลัลลอฮ์ อะลัยฮิวะสัลลัม และได้ยกย่องท่านอบู บักร หลังจากนั้นก็เป็นอุมัร และอุษมาน(ตามลำดับ) รายงานโดย อัล บุคอรีย์
อัต ตอบะรอนีย์ ใน อัลกะบีร มีรายงานเพิ่มว่า : ท่านรสูล ศ็อลลัลลอฮ์ อะลัยฮิวะสัลลัม รู้เรื่องดังกล่าว และไม่ได้ห้ามอะไร
ในรายงานของ อิบนุ อะสากิร มีว่า : พวกเราได้ยกย่อง ท่านอบู บักร, อุมัร, อุษมาน และอาลี
รายงานจาก อิมาม อะห์มัด และคนอื่นๆ ว่า ท่านอาลี บิน อบี ตอลิบ รอฎิยัลลอฮ์ อันฮุ ได้เคยกล่าวว่า : ผู้ที่ประเสริฐที่สุดในหมู่ประชาชาตินี้หลังจากท่านนบีคืออบู บักร หลังจากนั้นก็เป็นอุมัร และหากฉันต้องการ ฉันก็จะเรียกว่า ฉันคือบุคคลที่สาม(หลังจากอบู บักร และ อุมัร)
อัซ ซะฮะบีย์ กล่าวว่า : รายงานนี้เป็นรายงานมุตะวาติร(หมายถึง เป็นสายรายงานที่มากกว่าสิบขึ้นไปและเป็นที่ยอมรับโดยปริยาย) [6]
*****
[1] ดู อัลมะหาสิน อัลนัฟสานียะห์ หน้า 166
[2] ดู อัล บูรฮาน โดย ฮาชิม อัลบะห์รอนีย์ 2/300
[3] อัรเราเฏาะฮ์ มิน อัลกาฟีย์ โดย อัลกุลัยนีย์ 8/285
[4] เชคคุล อิสลาม อิบนุ ตัยมียะห์ ได้กล่าวว่า พวกรอฟิเฎาะฮ์ได้ช่วยพวกตาตาร์ที่รบกับมุสลิม ดู มัจมูอฺ อัลฟะตาวา (25/151) และดูหนังสือ กัยฟะ ดะคอละ อัตตาตาร์ บิลาด อัลมุสลิมีน โดย ดร. สุลัยมาน บิน หะมัด อัลเอาดะห์. จงดูเถิดว่า พวกชีอะห์ที่อิรักได้ให้ความร่วมมือกับผู้ที่เข้ามาครอบครองและยึดอำนาจประเทศของตนอย่างไร และหลักฐานที่ยืนยันคือการที่ชาวสุนนีย์ถูกสังหารโดยชีอะห์ที่ฟัลลูญะห์และอีกหลายๆแห่งที่มีชาวสุนนีย์อาศัยอยู่!!
[5] ดู วะสาอิล อัชชีอะห์ โดย อัล หุร อัล อามีลี (7/431) และ อัตะห์ซีบ เล่มที่ 7 หน้า 303
[6] ดู อัตตะลีกอต อะลา มัตนี ลัมอะฮ์ อัลอิติกอด โดย ท่านเชค อับดุลลอฮ์ บิน อัล ญับรีน หน้า 91