สาร์นตักเตือนไปยังนักโต้แย้งมุสลิม ที่เอาทฤษฏีทางวิทยาศาสตร์มาอธิบายอัลกุรอาน [ตอนที่ 1]
เรียบเรียงโดย ดร.อบูอิย้าด อัมจ้าด รอฟิก
แปลโดย อบูจัสมิน
[วันที่ 3 กันยายน 2015]
أَوَلَمْ يَرَ الَّذِينَ كَفَرُوا أَنَّ السَّمَاوَاتِ وَالْأَرْضَ كَانَتَا رَتْقًا فَفَتَقْنَاهُمَا وَجَعَلْنَا مِنَ الْمَاءِ كُلَّ شَيْءٍ حَيٍّ (الأنبياء:30)
ความว่า: “และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเหล่านั้นไม่เห็นดอกหรือว่า แท้จริงชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินนั้นแต่ก่อนนี้รวมติดเป็นอันเดียวกัน แล้วเราได้แยกมันทั้งสองออกจากกัน และเราได้ทำให้ทุกสิ่งมีชีวิตมาจากน้ำ ดังนั้นพวกเขาจะยังไม่ศรัทธาอีกหรือ” [ อัลอัมบิยาอฺ อายะฮ์ที่ 30]
บทสรุป
ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา มีบรรดานักโต้เเย้งมุสลิมได้เดินตามเเนวทางของนักโต้เเย้งคริสเตียน ที่ใช้คำภีร์ใบเบิ้ลเพื่อพิสูจน์สมมุติฐาน แบบจำลอง และทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ รวมถึงนำมาเป็นพื้นฐานการเเปลความหมาย บางอายะฮ์ของอัลกุรอาน โดยมีเจตนาเพื่อพิสูจน์การมีอยู่จริงของพระเจ้า
บรรดานักตอบโต้ที่บิดเบือนอย่างเลยเถิด อย่างในกรณีของ ซากิร ไนค์ จากคำกล่าวเท็จของเขา การตัดเอาบางคำจากอายะฮ์กรุอ่านมาให้ความหมายตามที่ตัวเองต้องการ ซึ่งวิธีการนี้ (มีต้นตอจากนักคิดสมัยใหม่ เช่น ญะมาลุดดิน อัล-อัฟฆอนีย์ และมูฮัมมัด อับดุฮ์) และยังเป็นวิธีของพวกเอทิสต์ตอบโต้มุสลิมที่อ้างวิทยาศาสตร์เพื่อพิสูจน์อิสลาม
ในทางตรงข้าม การโต้เเย้งเหล่านี้ โดยเฉพาะในด้านจักรวาลวิทยา ที่เป็นเพียงแค่การคาดเดา การอนุมาน เเละการตั้งสมมุติฐาน และเป็นสมมุติฐานที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ และไม่มีทางพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้ ซึ่งสมมติฐานเหล่านี้ได้รับการโฆษณาชวนเชื่อ เพื่อยกระดับความน่าเชื่อถือขึ้นมา ให้อยู่ในฐานะของ “ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์” ด้วยการใช้ประโยคทำนองที่ว่า “ตอนนี้เราค้นพบเเล้วว่า …” หรือประโยคว่า “ตอนนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า…” มันก็คล้ายกับวิธีการของพวกเอทิสต์ ที่พวกเข้าเคยนำมาใช้ตอบโต้คำพูดของนักโต้เเย้งมุสลิม ความเชื่อของพวกเขาก็มิไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของวิทยาศาสตร์เชิงประจักษ์แต่อย่างใด ยังเป็นเพียงทฤษฏี และแนวความคิดที่สร้างขึ้นจากความคิด และไม่ได้รับการพิสูจน์และทดสอบสมมติฐานนั้น แต่อย่างได
เอกสารนี้จะชี้เเจ้งถึงข้อผิดพลาดของนักโต้แย้งมุสลิม และชี้เเจ้งถึงเเนวทางที่อันตรายของพวกเขา เช่นเดียวกันจะเปิดพรมให้เห็นสิ่งที่พวกเอทิสต์ซ่อนใว้ รวมถึงศาสนาวิทยาศาสตร์ของพวกเขา ที่พวกเขายืนยันสิ่งนั้นอย่างมั่นใจ และปิดผลึกมันใว้1
[ 1- “นักจักรวาลวิทยา สามารถพูดอะไรก็ได้ที่ผุดขึ้นมาในสมอง คิดค้นรูปเเบบไร้สาระต่างๆ ขึ้นมาเพื่ออธิบายถึงบิ๊กเเบง ไม่ว่า เรื่องของเวลา ที่ใช้พื้นฐานของตัวเลขที่ซับซ้อน เพื่ออธิบาย “ประวัติการเกิดเวลา” โดยสตีเฟ่น ฮอกกิ้น(เอทิสต์) เป็นผู่ให้คำอธิบาย หรือ “การสร้างเครื่อง contraptions” ที่น่าอัปลัษณ์มาเพื่ออธิบาย “ทฤษฏีการพองโตของจักรวาล” (cosmic inflation) หรือ “ทฤษฏี universes multiplying ” ที่เกิดจากการสังเกต หลุมขาว(white holes),หลุมดำ(black holes), รูหนอน(worm holes) (เป็นที่รู้จักกันว่า ทางเชื่อมต่อ หรือ สะพานไอน์สไตน์-โรเซน) และ “ภาวะเอกฐานที่ไร้ขอบฟ้าเหตุการณ์ห่อ หุ้ม” (a naked singularity) ทฤษฏี ทั้งหมดเหล่านี้ ไม่เคยถูกพิสูจน์ หรือรับการท้วงติงใดๆ นอกจากในบางจุดเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งนักฟิสิกส์สามารถอธิบายไปได้ไม่จบสิ้น เพราะมันสามารถอธิบายอย่างไรก็ได้” เดวิด เบอร์ลินสกี้ “Was There a Big Bang? Commentary” หน้า 28-38 กุมภาพันธ์ 1998 ]
การสรรเสริญทั้งมวลเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮ์ พระผู้อภิบาลเเห่งสากลโลก ขออัลลอฮ์ทรงประทานความจำเริญแต่ท่านนบี -ศ็อลลัลลอฮุอาลัยฮิวะซัลลัม- (เเละนบีอีซา,มูซา,อิบรอฮิม และนุฮ์ ) เเด่ครอบครัวของท่าน และอัครสาวกของท่าน ในขั้นสูงสุด เเละประทานความปลอดภัยเเก่ท่านเหล่านันทั้งหมด
เนื่องจากมีความพยายามของนักโต้เเย้งมุสลิมจำนวนมาก ที่อ้างว่าอัลกุรอานมีการ “พาดพิง” หรือ “กล่าวถึง” มีความเกี่ยวข้องกับ “วิทยาศาสตร์เทียม Psudo-science” (การทำให้ ปรัชญา ที่ดูเลื่อนลอยกลายเป็นศาสตร์ขึ้นมาโดยมิได้ผ่านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์) หรือที่เรียกว่า “ปรัชญาการกำเนิดจักรวาล ตามแบบจำลองบิ๊กแบง – The Bigbang Model”2
[ 2- นอกเหนือจากเนื้อหาของบทความนี้ เราจะมาทำความเข้าใจกันใหม่ในเรื่อง ศาสนาบิ๊กแบงอันจอมปลอมนี้ ที่อ้างกันว่าเป็นวิทยาศาสตร์ที่อาศัยการรับรู้ทางกายภาพ ใช้พื้นฐานจากความรู้สึกทั่วไป และการอธิบายมาจากตรรกะ เพื่อใช้เป็นหลักฐานสนับสนุน จินตนาการทางคณิตศาสตร์ ที่มีอยู่ในความคิด ให้ออกมาสู่ข้างนอก ให้ปรากฏออกมาเป็นข้อเท็จจริงให้ได้ ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตุว่า มันยังมีข้อขัดเเย้งมากมายเกี่ยวกับบิ๊กแบง โดยนักวิทยาศาสตร์เอทิสต์หลายคน ที่พวกเขาอ้างว่า จักรวาลเป็นนิรันด์ และพวกเขาต่างเสนอแนวความคิดของตัวเองมาโต้เเย้งกัน ชี้ให้เห็นว่าพวกเขาเองยังไม่มีข้อสรุปตรงกัน
ยิ่งกว่านั้น มันเป็นเพียงเเค่ “แบบจำลองบิ๊กแบง” ที่เสนอเรื่องราวจุดเริ่มต้นของจักรวาล ดูเหมือนจะเป็นประโยชน์ให้กับนักโต้เเย้งมุสลิม3 ก็ใช่ว่ามันจะถูกต้อง ในทางตรงกันข้ามการอ้างถึงวิวัฒนาการของ “จักรวาล” ตามแบบจำลองบิ๊กแบง เป็นการเปิดทางไปสู่การยอมรับ วิวัฒนาการทาง “ธรณีวิทยา” เเละ “ทฤษฏีวิวัฒนาการ” ของ ดาวินส์ อีกด้วย
“แบบจำลองบิ๊กแบง” ซึ่งประกอบขึ้นด้วยคำอธิบายต่างๆ เช่น Lambda Cold Dark Matter, Relativistic Friedman- LeMaitre, McGaugh, Einstein-deSitter relativistic, LeMaitre, Eddington-LeMaitre and Zero-Kelvin นั้นกำหนดขึ้นบนความคลุมเครือ เเละประกอบขึ้นด้วยตัวแปรมากมาย ที่มีการปรับเปลี่ยนได้ และยังมีสิ่งที่ตรวจพบไม่ได้ ทั้งพลังงานและกำลังซึ่งมีการแปรผันหรือเปลี่ยนเปลงได้ตามต้องการ เเละมีการเเก้ไขเพิ่มเติมในหลายจุด เช่น การแผ่ขยายและความเร่งเป็นต้น
แบบจำลองบิ๊กแบง มิได้ถูกกำหนดและนำเสนอ ในลักษณะเดียวกับวิทยาศาสตร์ที่สามารถพิสูจน์สมมติฐานได้ นี่เป็นสาเหตุว่าทำไมมันเป็นได้เพียงเเค่ “แบบจำลอง” หนึ่ง และไม่ได้ยกระดับไปสู่ “ทฤษฏี”
แบบจำลองบิ๊กแบง ไม่มีทางที่จะเป็น “ทฤษฏี” หนึ่งได้ เพราะมียังสมมติฐานมากมายที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ รวมถึงสูตรต่าง ๆ ที่นำมาคาดคะเนยังไม่มีความสเถียรพอ
[ 3- การพิสูจน์จุดเริ่มต้นของจักรวาล มิใช่เงื่อนไขของการพิสูจน์การมีอยู่ของผู้สร้าง และขัดเเย้งกับข้ออ้างของพวก “อะฮ์ลุลกาลาม” ที่เชื่อว่ามีเเนวทางการพิสูจน์ผู้สร้างอยู่หลายแนวทาง ไม่ใช่เเค่เเนวทางเดียว
ชัยคุลิสลาม อิบนุตัยมิยะฮ์ ได้กล่าวใว้ตอนหนึ่ง เพื่อตอบโต้พวกอะฮ์ลุลกาลาม (นักปรัชญาทางศาสนาที่นำอิลมุนกะลาม มาใช้ตอบโต้ในเรื่องดาราศาสตร์) ความว่า :
“… พวกเขาใช้ขอบเขตการยืนยันในเรื่องผู้สร้าง ด้วยความรู้เกี่ยวกับต้นกำเนิดของจักรวาล,และพวกเขาใช้ขอบเขตการยืนยันในเรื่องต้นกำเนิดของจักรวาล เพื่อยืนยันการกำเนิดของเทหวัตถุ เเต่การยืนยันในเรื่องผู้สร้างนั้น มีเเนวทางมากมายนับไม่ถ้วน และทั้งหมดนั้นมีความชัดเจน และชัดเจนกว่าวิธีการยืนยันในเรื่องต้นกำเนิดของจักรวาลเสียอีก
ดังนั้น สรุปได้ว่าเเนวทางในการยืนยันเรื่องผู้สร้างนั้นมีหลายทาง
เเละทั้งหมดชัดเจนกว่าเเนวทางนี้(แนวทางที่อะฮ์ลุลกาลามใช้) ทั้งหมดเป็นหลักฐานชี้ขาดและไม่สามารถยกเลิกได้ ด้วยเหตุนี้จึงไม่จำเป็นต้องใช้ความรู้ในเรื่องต้นกำเนิดของจักรวาล ที่ได้มาจากความรู้ในเรื่องต้นกำเนิดของเทหวัตถุ(องค์ประกอบของจักรวาล )เพื่อยืนยันผู้สร้าง
ดังนั้น จึงไม่จำเป็นที่ต้องนำความรู้ในเรื่องจุดกำเนิดของจักรวาล มาอธิบายถึงจุดเริ่มต้นของสรรพสิ่ง”
(ฮูดูท อัล-อะอฺลัม หน้าที่ 54) ]
“เเม้ว่าสิ่งที่เอทิสต์เสนอมาหลายเรื่องจะปฏิเสธในแนวทางการยอมรับความเชื่อที่มาจากการคาดเดา ซึ่งขัดเเย้งกับสิ่งที่อัลกุรอานได้ให้ข้อมูลในเรื่องผู้สร้างชั้นฟ้าและโลกใว้อย่างชัดเจน และตรงกันข้ามกลับเป็นสิ่งที่จะทำให้นักตอบโต้มุสลิมเข้าไปอยู่เเเนวทางเดียวกันกับญะมียะฮ์ในอดีต ซึ่งเป็นพวกที่ริเริ่มการบิดเบือนอัลกุรอาน ด้วยชุดความคิดทางปรัชญาจากศาสตร์ต่างๆ ที่ได้รับความนิยมในยุคนั้น [4]
[ 4- พื้นฐานเเนวคิดของพวก “ญะฮ์มีย์” นั้นนำมาจากพวกยิว ในยุคกรีกโบราณ , พวกคริสเตียนและพวกศอบิอะห์ มีพื้นฐานของความเชื่อที่ว่า จักรวาลนี้เริ่มต้นขึ้นมาด้วยกับคำกล่าวอ้างที่ว่า เทหวัตถุต่างๆ นั้น มีลักษณะของการเกิดด้วย “ความบังเอิญ” เป็นส่วนสำคัญ “ไม่มีอะไร” เกิดมาก่อนมัน เเละไม่มีอะไรจะเกิดหลังจากมันอีก ตัวเทหฺวัตถุต่างๆ มีความเป็นดั้งเดิมมาเเต่ต้นเเล้ว
ด้วยเหตุนี้ จักรวาลนั้นจะต้องเกิดมาจากองค์ประกอบของเทหฺวัตถุต่างๆ และจะต้องมีความเป็นดั้งเดิมจากอดีตที่ผ่านมา ในบางจุดด้วย เพราะห่วงโซ่นิรันดร์ของเหตุการณ์ต่างๆ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเปลี่ยนเเปลงตามไป ในทางตรงกันข้ามจุดกำเนิดของมันจะต้องไม่ปรากฏ ในคุณสมบัติต่างๆ ที่พบในเทหฺวัตถุต่างๆ ทั้งหมด
ด้วยเหตุผลดังกล่าว ทำให้พวกเขาเริ่มที่จะปฏิเสธพระนามเเละคุณลักษณะของอัลลอฮ์ เพราะถ้าหากยอมรับในสิ่งเหล่านี้ มันก็เป็นการทำให้หลักฐานของพวกเขากลายเป็นโมฆะ ดังนั้น พวกเขาจึงเริ่มบิดเบือนอายะฮ์กุรอ่าน ที่กล่าวถึงพระนามของอัลลอฮ์ และคุณลักษณะต่างๆ ของพระองค์ รวมถึงการกระทำของพระองค์ที่เเสดงถึงการมีรูปร่าง เพื่อทำให้พวกเขาไม่ตกไปอยู่ในจุดที่ขัดเเย้งในตัวเองกับเรื่องนี้
ในลักษณะที่คล้ายกันจากบรรดาผู้ที่ยืนยันความถูกต้องของ โครงสร้างเเบบจำลองบิกแบง จะต้องบังคับให้ทุกอายะฮ์ของอัลกุรอานที่กล่าวถึง “การสร้าง” จะต้องปรับเข้าหาแบบจำลองนี้ให้ได้ โดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องปฏิเสธในบางอายะฮ์ที่ไปขัดเเย้งกับมันโดยปริยาย และจำเป็นที่จะต้องบิดเบือนบางอายะฮ์กุรอ่านหลังจากที่มันชัดเจนอยู่เเล้ว
เมื่ออัลกุรอาน ไม่สอดคล้องกับแนวความคิดที่พวกเขาคิดว่า ผ่านการพิสูจน์อย่างมีเหตุผลเเล้ว พวกเขาก็เริ่มตีความอัลกุรอาน เเละนี่เป็นจุดกำเนิดของการตะอฺวีล(ตีความ) ในอิสลาม ซึ่งในความเป็นจริงเเล้วก็คือการตะอฺรีฟ(อธิบายตัวบทนอกเหนือเจตนาที่ถูกต้อง)นั่นเอง
การยอมรับ องค์ประกอบพื้นฐานของปรัชญาบิ๊กแบงจะ นำไปสู่การปฏิเสธเรื่องราวการสร้างที่ปรากฏในอัลกุรอาน แต่นั่นมิใช่เป้าหมายหลักของบทความนี้ ในการชี้เเจงรายละเอียดตอบโต้ แบบจำลองบิ๊กแบงนี้
ซึ่งเป็นความเชื่อเดาสุ่ม ที่ได้รับอิทธิพลมาจากวิทยาศาสตร์มานานนับศรรตวรรษ รากเหง้าของมันนั้นต้องย้อนกลับไปยาวไกล
ซึ่งเจตนาหลักของบทความนี้ ก็เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง ถึงเจตนาของอายะฮ์อัลกุรอาน ในซูเราะฮ์ อัล-อัมบิยะฮ์ อายะฮ์ที่ 30 นั้น มีความเกี่ยวของกับแบบจำลองนี้หรือไม่
เพราะการพาดพิงในสิ่งที่อัลลอฮ์ -ซุบฮานะฮูวะตะอาลา- ไม่ได้กล่าวหรือเจตนาใว้อย่างนั้น นับเป็นความอธรรมอันยิ่งใหญ่ ดังที่พระองค์ทรงตรัสว่า “การที่พวกเจ้ากล่าวให้ร้าย แก่อัลลอฮ์ในสิ่งที่พวกเจ้าไม่รู้” (อัล-อะอฺรอฟ อายะฮ์ที่ 33 )
เเละมันมาจากคำเชิญชวนของชัยฏอน ดังที่อัลลอฮ์ ทรงตรัสว่า “ที่จริงมันเพียงเเต่จะใช้พวกเจ้าให้ประกอบสิ่งชั่ว และสิ่งลามกเท่านั้น และจะใช้พวกเจ้ากล่าวความเท็จให้แก่อัลลอฮ์ ในสิ่งที่พวกเจ้าไม่รู้” (อัล-บาเกาะเราะฮ์ อายะฮ์ที่ 169)
และเป็นสิ่งที่ต้องห้ามดังที่อัลลอฮ์ทรงตรัสว่า “และอย่าติดตามสิ่งที่พวกเจ้าไม่มีความรู้ในเรื่องนั้น แท้จริงหู และตา และหัวใจ ทุกสิ่งเหล่านั้นจะถูกสอบสวน” (ซูเราะฮ์ อัลอิสรออฺ อายะฮ์ที่ 36) ]
ในบทความสั้นๆ นี้ เราจะหยิบยกคำพูดของนักโต้เเย้งมุสลิม,นักตีความอัลกุรอาน ตรวจสอบความถูกต้อง และยกตัวอย่างคำพูดของปราชญ์เเนวทางสุนนะฮ์ ที่พูดถึงการอธิบายด้วยวิทยาศาสตร์ ในอัลกุรอาน รวมทั้งบทสรุปสั้นๆ ในเรื่อง ปรัชญา,ความเชื่อ และสมมตุฐานที่ประกอบขึ้นเป็นแบบจำลองบิ๊กแบง เเละชี้เเจงความหมายที่ถูกต้องของอัลกุรอานในอายะฮ์ดังกล่าว ด้วยคำพูดของบรรดาปราชญ์นักอรรถาธิบายอัลกุรอานในยุคต้น ยุคกลาง และปราชญ์ร่วมสมัย ในปัจจุบัน
เขียนโดย อบูอิย้าด อัมจ๊าด รอฟิก
[วันที่ 3 กันยายน 2015]
แปลโดย อบูจัสมิน
อ่านต่อ -> ทฤษฏีบิ๊กแบงในอัลกุรอาน? [ตอนที่ 2]