เเนวปฏิบัติของมุสลิมภายใต้ผู้นำมุสลิม เเละผู้นำที่เป็นต่างศาสนิก
โดย เชคซอลิหฺ เฟาซาน อัลเฟาซาน หะฟิศ่อฮุ้ลลอฮ์ ( ฟัตวาเลขที่ 15872 )
มีคำถามไปยังเชคซอลิหฺ เฟาซาน อัลเฟาซาน หะฟิศ่อฮุ้ลลอฮ์
คำถาม: คือมันมีพวกที่ปลุกระดม เยาวชนเพื่อให้ออกไปก่อกบฏ ล้มการปกครองของภาครัฐในหลายประเทศ ที่มิได้นำชะรีอะฮ์อิสลามมาใช้ อยากทราบว่าอะไรคือมันฮัจญ์(หลักปฏิบัติ) สำหรับเราต่อผู้นำมุสลิม และผู้นำที่ไม่ใช่มุสลิม(รัฐที่ปกครองโดยต่างศาสนิก) ?
คำตอบ: อัลฮัมดุลิ้ลลาฮ์ มันฮัจญ์ของเรา ในการปฏิบัติต่อผู้นำมุสลิม คือการเชื่อฟังและการภักดี ดังที่อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงตรัสไว้ว่า “ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! จงเชื่อฟังอัลลอฮ์ และเชื่อฟังรอสูลเถิด และผู้ปกครองในหมู่พวกเจ้าด้วย แต่ถ้าพวกเจ้าขัดแย้งกันในสิ่งใด ก็จงนำสิ่งนั่นกลับไปยังอัลลอฮ์ และรอสูล หากพวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮ์และวันปรโลกนั่นแหละเป็นสิ่งที่ดียิ่งและเป็นการกลับไป ที่สวยยิ่ง” (อัน-นิสาอฺ:59)
และท่านเราะซูลลุลลอฮ์ ศอลลัลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า
“ผู้ใดที่เชื่อฟังผู้นำ แน่แท้เขาได้เชื่อฟังต่อฉันแล้ว, และผู้ใดที่ฝ่าฝืนผู้นำ แน่แท้เขาได้ฝ่าฝืนต่อฉันแล้ว “
(รายงานโดย บุคอรีย์)
ดังนั้น สำหรับผู้นำมุสลิมนั้น วายิบที่จะต้องเชื่อฟังเขา ในสิ่งที่เป็นการเชื่อฟังต่ออัลลอฮ์ แต่หากว่าเขาใช้ให้กระทำการฝ่าฝืนคำสั่งของอัลลอฮ์ ก็อย่าได้เชื่อฟังในเรื่องนั้น (เเต่ห้ามก่อกบถ) ส่วนเรื่องอื่นก็จะต้องเชื่อฟังเหมือนเดิม
ส่วนการปฏิบัติต่อผู้นำที่ไม่ใช่มุสลิมนั้น การปฏิบัติต่างๆ ย่อมเเตกต่างออกไปตามบริบทของมัน ดังนั้นหากว่าบรรดามุสลิมมีกำลังไพร่พลและความสามารถที่เเข็งเเกร่งพอจะสู้รบกับผู้นำที่ไม่ใช่มุสลิมได้ และมั่นใจว่าจะต้องได้รับชัยชนะเเน่นอน มั่นใจว่าสามารถขึ้นมาปกครองแทนพวกเขาเเละมุสลิมเป็นผู้นำได้ ดังนั้นมันก็เป็นวายิบสำหรับเขา และเป็นการญิฮาดในหนทางของอัลลอฮ์
ในทางกลับกัน หากพวกเขาไม่มีความสามารถ (ไม่มีไพร่พล กำลัง สรรพาวุธ และศาสนาที่เข้มเเข็งบนอะกีดะฮ์ที่ถูกต้อง-ผู้แปล) ก็ไม่เป็นที่อนุญาตสำหรับเขาที่จะลุกขึ้นมาต่อสู้ บนหนทางที่มืดมน(ไม่เห็นชัยชนะ) เพราะสิ่งนี้จะกลับกลายเป็นความเสียหาย เป็นอันตรายที่จะกลับมาประสบกับบรรดามุสลิมเอง
ท่านนบี ศอลลัลลอฮุอาลัยฮิวะซัลลัม อาศัยอยู่ในเมืองมักกะฮ์เป็นเวลา 13 ปี หลังจากได้รับการเเต่งตั้งเป็นศาสนทูต ในตอนนั้นยังอยู่ภายใต้การปกครองของพวกกาเฟร ในขณะเดียวกันท่านก็อยู่ร่วมกับบรรดาศอฮาบะฮ์ที่เพิ่งเข้ารับอิสลาม จะเห็นได้ว่าบรรดาท่านเหล่านั้นมิได้คิดทำสงครามกับพวกกาเฟรเลย เนื่องจากพวกเขาถูกปรามจากท่านนบีในการต่อสู่ในช่วงเวลานี้ จึงมิได้รับคำสั่งให้ออกไปสู้รบ เกิดขึ้นหลังจากที่ท่านบีได้อพยพไปยังมะดีนะฮ์เเล้ว ท่านได้สร้างเมืองเเละมีกำลังพลที่สามารถจะต่อสู้กับพวกกาเฟรได้ นี่คือเเนวทางของอิสลาม
ในเมื่อมุสลิมอยู่ภายใต้การปกครองของผู้นำที่ไม่ใช่มุสลิม และไม่มีความสามารถที่จะปลดเขาได้ ดังนั้น ก็จงยืดมั่นในอิสลามและอะกีดะฮ์ที่ถูกต้องให้มั่นคง พร้อมทั้งเรียกร้องเชิญชวนสู่อัลลอฮ์ -ซุบฮานะฮูวะตะอาลา-
อย่าได้นำตัวเองเข้าไปสู่อันตราย และนำอย่าเพิ่งไปเผชิญหน้ากับผู้ปฏิเสธศรัทธา เพราะสิ่งดังกล่าวนั้น จะพาพวกเขาไปสู่หายนะ และเป็นอุปสรรคขัดขวางการดะอฺวะฮ์
หากเมื่อใดที่เขามีกองกำลังเพียงพอ ถึงตอนนั้นก็สามารถญิฮาดได้ เเท้จริงมันเป็นการญิฮาดในหนทางของอัลลอฮ์ ภายใต้กฏเกณฑ์ที่ถูกต้องและชัดเจน(ตามหลักการอิสลาม)
เเล้วอะไรคือความหมายของคำว่า กองทัพ เป็นกองทัพที่ชัดเจนแน่นอน ก็คือกองกำลังที่เป็นที่รู้กันอย่างชัดเเจ้ง เเละได้รับการรับรองอย่างแน่อน และทหารมุสลิมเหล่านี้สามารถต่อสู้ด้วยกับการญีฮาดในหนทางของอัลลอฮ์ เป็นบทบัญญัติในการญิฮาดต่อกาฟิร ผู้ปฏิเสธศรัทธา
เเต่หากกองทัพนั้น ไม่ใช่กองทัพที่เเน่นอน (ไม่ตรงตามหลักการญิฮ้าดของอิสลาม) ก็ไม่อนุญาตให้มุสลิมต้องเข้าไปเสี่ยงอันตราย และนำพาไปสู่ความเสียหาย เเน่นอนมันจะนำพาพวกเขาไปสู่จุดจบที่เลวร้าย และจากชีวประวัติของท่านนบี ศอลลัลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ตอนที่ท่านพำนักในเมืองมักกะฮ์และเมืองมะดีนะฮ์ ก็เป็นหลักฐานที่ดีในประเด็นนี้