ความเป็นมาของกลุ่มไอซิส และกลุ่มนักรบจอมตักฟีร ในอิรัคและซีเรีย
เรียบเรียงโดย อบูจัสมิน (17 พฤศจิกายน 2557)
เเรกเริ่มเดิมทีกลุ่มเหล่านี้เป็นกลุ่มที่ยึดแนวทางของกลุ่มอัล-กออิดะฮ์ (ก่อตั้งโดยอูซามะอ์ บิน-ลาดิน และอับดุลลอฮ์ อัซซาม) โดยสืบทอดอุดมการณ์มาจากงานเขียนของสัยยิด กุฏบ์ ต่อมามีการก่อตั้งเป็นรัฐขึ้นในช่วงปี 2004 โดย “อบู มุสอับ อัล-ซากอวีย์” เป็นผู้สถาปนากลุ่มที่ชื่อว่า “ญะมะอะฮ์ อัต-เตาฮีด วัล-ญิฮาด” ซึ่งเขาเองมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มอัล-กออิดะฮ์ ที่มี “อุซามะฮ์ บิน-ลาดิน” เป็นหัวหน้าในเวลานั้น และหมายมั่นจะเป็นพันธมิตรกับกลุ่มอัล-กออิดะฮ์ ในอาณาเขตนั้น
ต่อมาในปี 2006 “อัล- ซากอวีย์” ได้ประกาศจัดตั้งกลุ่มใหม่ขึ้นมาอีก ชื่อว่า “มัจลิส ชูรอ อัล-มูฮาฮีดีน” โดยมี “อับดุลลอฮ์ รอชีด อัล-บัฆดาดีย์” เป็นหัวหน้า หลังจากนั้นไม่นาน อัล-ซากอวีย์ และคนอื่นๆ ก็ถูกฆ่าตาย และ “อบู ฮัมซะ อัล-มูฮาจิร” ก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้ากลุ่มอัล-กออิดะฮ์ในอิรัคแทน ต่อมาในปีเดียวกัน กลุ่ม “อัล-เดาละฮ์ อัล-อิสลามิยะฮ์ ฟิล-อิรัค” (รัฐอิสลามแห่งอิรัค) ก็ถือกำเนิดขึ้น โดยมี “อบู อุมัร อัล-บัฆดาดีย์” ตั้งตนเป็นหัวหน้า. เป้าหมายเพื่อรวมกลุ่มนักรบญิฮาดที่อยู่กันกระจัดกระจายในอิรัค ให้กลายเป็นปึกแผ่น หลังจากนั้น “อบู อุมัร อัล-บัฆดาดีย์” ก็ถูกสังหาร และ “อบู บักรฺ อัล-บัฆดาดีย์” ได้ขึ้นเป็นผู้นำกลุ่มเเทน …
ในช่วงเวลานั้นมีปัญหาเกิดขึ้นมากมายระหว่างกลุ่มนักรบ(อ้างตน)ญิฮาด ที่สู้รบกันอยู่ในอิรัค ใครที่คัดค้านไม่เห็นด้วยจะถูกคุกค้าม ตั้งเเต่มีการจัดตั้งรัฐอิสลามแห่งอิรัค จากคำสุนทรพจน์ในหัวข้อ “วะอดุลลอฮ์ (คำมั่นสัญญาของอัลลอฮ์) ที่เขียนใว้เมื่อปี 2008 โดย “อบู อุมัรอัล-บัฆดาดีย์” กล่าวว่า “…จงยำเกรงต่ออัลลลอฮ์เถิด. โอ้…เหล่าไพร่พลจากทุกพลพรรค ไม่ว่าก่อนหน้านี้ และนับจากนี้ไป ใครก็ตามที่ไม่ยอมสยบต่อเรา หากเราจับได้ ขอบานต่ออัลลอฮ์! การสังหารกาเฟรซักคนหนึ่ง ย่อมเป็นที่รักยิ่งสำหรับฉัน มากกว่าศรีษะของบรรดาทหารครูเสดร้อยคนเสียอีก และพวกท่านจงตระหนัก ต่อความแข็งกร้าว และเป้าหมายอันยาวไกลของเรานี้…”
จากนั้นปี 2013 “อบูบักรฺ อัล-บัฆดาดีย์” ประกาศจัดตั้งกลุ่ม อัล-เดาละห์ อิสลามิยะฮ์ ฟิลอิรัก วัชชาม(ไอซิส)ขึ้น เเละรวมรัฐของเขากับกลุ่ม “ญับบะฮ์ อัล-นุสเราะฮ์” ที่สู้รบอยู่ในซีเรีย เพื่อร่วมกันต่อต้าน “ประธานาธิปดีบะชัรอะสัด”(กลุ่มนักรบที่มีชาติตะวันตกหนุนหลัง) คำประกาศของอบูบักรฺ อัล-บัฆดาดีย์ ในครั้งนั้น ไม่มีการปรึกษาหารือใดๆ กับ“อบู มุฮัมมัด อัล-เญาลานีย์” หัวหน้ากลุ่ม “ญับบะฮ์ อัล-นุสเราะฮ์” เกิดเป็นกลุ่มที่ใหญ่ขึ้นจากการที่ฝ่ายอัล-นุสเราะฮ์ (ที่มีนักรบนับพันคน)มาเข้าร่วมกับกลุ่มจัดตั้งใหม่นี้ พร้อมทั้งให้สัตยาบัณกับ “อัล-บัฆดาดีย์”
อย่างไรก็ตาม “อัยมาน อัล-ซอวาฮิรีย์” ผู้นำกลุ่มกลุ่มอัล-กออิดะฮ์ซึ่งเป็นหัวเรือหลักในการคัคด้านการตั้งกลุ่มใหม่นี้(กลุ่มไอซิส) และยังกล่าวอีกว่า ญับฮะตุลนุสเราะฮ์ ควรจะอยู่กับอัล-กออิดะฮ์ เพื่อเป็นตัวแทนในซีเรีย แต่กระนั้น “อบูบักรฺ อัล-บัฆดาดีย์” กลับปฏิเสธคำร้องขอของ อัล-ซอวาฮิรีย์ และดำเนินการจัดตั้งกลุ่มไอซิซต่อไป ด้าน “อบู มูฮัมมัด อัล-อัดนีย์” โฆษกของไอซิซ ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ทุกกลุ่มญิฮาดที่ขัดแย้งกันอยู่ในเขตอิรัคและซีเรีย หันมาเข้าร่วมกับกลุ่มไอซิส จากนั้นปัญหาได้แผ่ขยายมากขึ้น ระหว่างกลุ่มนักรบต่างๆ และในที่สุดก็นำไปสู่การสู้รบกันเอง. ผู้นำในการเรียกร้องนี้คือ “อบูมุสอับ อัล-ซูรีย์” ซึ่งเป็นผู้นำของกลุ่มไอซิสที่มีความสุดโต่ง รุนเเรง ถูกเเต่งตั้งขึ้นมาเพื่อทำลายภาพภาพพจน์เดิมของกลุ่มก่อนหน้านี้ จนเกิดการสู้รบขึ้นระหว่างกลุ่มไอซิสและอัล-นุศเราะฮ์ เเต่ละฝ่ายต่างก็กล่าวหาอีกฝ่ายเป็นกาเฟร(หลุดจากศาสนาอิสลาม) และจบลงด้วยการสังหารนักรบของฝ่ายตรงข้ามที่ถูกจับกุมมาได้
จน ณ บัดนี้ ยังมีการสู้รบระหว่างนักรบญิฮาดตักฟีรีย์หลายกลุ่ม ทั้งในอิรัคและซีเรีย มีนักรบหน้าใหม่ที่ถูกหลอกลวงเข้ามาร่วมสงคราม ภายใต้คำว่า “ญิฮาด” และได้รับการฝึกฝนให้ออกไปสู้รบกับกลุ่มนักรบกลุ่มอื่น ที่ถูกตัดสินด้วยข้อหา “กาเฟร(หลุดจากศาสนาอิสลาม)” โดยสรุปเเล้ว กลุ่มนักรบเหล่านี้มีได้เกี่ยวข้องกับการญิฮ้าดที่ถูกต้องตามหลักการอิสลามเลย เพียงเเต่สู้รบกันเพื่อเเย่งชิงทรัพย์สินเเละต้องการเป็นใหญ่ในดินเเดน เท่านั้น
ความเข้าใจที่ถูกต้อง
อิสลามไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำของพวกไอซิซ
– ไอซิซ ฝ่าฝืนคำสั่งนบีมุฮัมมัด-ศอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม-
قال النبي صلى الله عليه وسلم: « إِنَّكُمْ سَتَفْتَحُونَ مِصْرَ ، وَهِيَ أَرْضٌ يُسَمَّى فِيهَا الْقِيرَاطُ، فَإِذَا فَتَحْتُمُوهَا فَأَحْسِنُوا إِلَى أَهْلِهَا، فَإِنَّ لَهُمْ ذِمَّةً وَرَحِمًا-أَوَ قَالَ:- ذِمَّةً وَصِهْرًا» رواه مسلم.
พวกท่านทั้งหลายจะพิชิตดินแดนมิศร(อียิปต์) เป็นแผ่นดินที่ถูกขนานนามว่าอัลกีรอฏ เมื่อพวกท่านพิชิตได้แล้วก็จงปฏิบัติดีกับชาวเมืองนั้น แท้จริงพวกเขาอยู่ในการดูแลคุ้มครอง(ของอัลลอฮและร่อซู้ล เพราะเป็นดินแดนที่นบีอิบรอฮีม-อะลัยฮิสสะลาม-เคยอาศัยอยู่ และในสมัยท่านค่อลีฟะฮ์อุมัร –ร่อดิยัลลอฮุอันฮ – ได้เคยทำสนธิสัญญากับชาวเมืองใว้เมื่อพิชิตใด้ในสมัยท่าน)) และเป็นเครือญาติ หรือท่านกล่าวว่า พวกเขาอยู่ในการดูแลคุ้มครองและเป็นเขยเป็นสะใภ้กัน(หมายถึงนางฮาญิรภรรยาท่านนบีอิบรอฮีม มารดาท่านนบีอิสมาอีล-อะลัยฮิสสะลาม )
ท่านนบี ได้กล่าวอีกว่า
«إذا افتتحتم مصر فاستوصوا بالقبط خيرا، فإن لهم ذمة ورحما
เมื่อพวกเจ้าพิชิตอียิปตืได้ จงสั่งใช้กันให้ปฏิบัติดีต่อชาวกิบฏ(พวกนะศอรอที่ยึดในนกายออร์โธดอกซ์) แท้จริงพวกเขาอยู่ในการดูแลคุ้มครอง(ของอัลลอฮและร่อซู้ลและเป็นเครือญาติ (ดูอัศศ่อหียหะฮ์ 1374)
قال النبي صلى الله عليه وسلم: «من قتل معاهداً لم يرح رائحة الجنة وإن ريحها توجد من مسيرة أربعين عاماً». رواه البخاري
ผู้ใดฆ่ามุอาฮิด(ผู้ที่มีสัญญากับรัฐอิสลามที่จะอยู่ร่วมการอย่างสงบ) แม้เพียงคนเดียว เขาจะไม่ได้กลิ่นหอมของสวรรค์ ซึ่งกลิ่นหอมของสวรรค์นั้นมีกลิ่นขจรไกลถึงระยะทางเท่ากับเดินทาง 40 ปี. รายงานโดยท่านอิมาม อัลบุคอรีย
อิสลามห้ามเผาคน ห้ามประจานศพ แม้เป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา แต่พวก ไอสิส เผาแม้กระทั่งมุสลิม !!!
فقد أخرج الإمام البخاري – رحمه الله – في “صحيحه”(٢٩٥٤) عن أبي هريرة – رضي الله عنه – أنه قال: ﺑﻌﺜﻨﺎ ﺭﺳﻮﻝ اﻟﻠﻪ ﺻﻠﻰ اﻟﻠﻪ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ ﻓﻲ ﺑﻌﺚ، ﻭﻗﺎﻝ ﻟﻨﺎ: ﺇﻥ ﻟﻘﻴﺘﻢ ﻓﻼﻧﺎ ﻭﻓﻼﻧﺎ – ﻟﺮﺟﻠﻴﻦ ﻣﻦ ﻗﺮﻳﺶ ﺳﻤﺎﻫﻤﺎ – ﻓﺤﺮﻗﻮﻫﻤﺎ ﺑﺎﻟﻨﺎﺭ،ﻗﺎﻝ: ﺛﻢ ﺃﺗﻴﻨﺎﻩ ﻧﻮﺩﻋﻪ ﺣﻴﻦ ﺃﺭﺩﻧﺎ اﻟﺨﺮﻭﺝ، ﻓﻘﺎﻝ:ﺇﻧﻲ ﻛﻨﺖ ﺃﻣﺮﺗﻜﻢ ﺃﻥ ﺗﺤﺮﻗﻮا ﻓﻼﻧﺎ ﻭﻓﻼﻧﺎ ﺑﺎﻟﻨﺎﺭ، ﻭﺇﻥ اﻟﻨﺎﺭ ﻻ ﻳﻌﺬﺏ ﺑﻬﺎ ﺇﻻ اﻟﻠﻪ، ﻓﺈﻥ ﺃﺧﺬﺗﻤﻮﻫﻤﺎ ﻓﺎﻗﺘﻠﻮﻫﻤﺎ.
ท่านอิมาม อัลบุคอรีย์-ร่อฮิมะฮุลลอฮ –ได้บันทึกในหนังสือซ่อเหี๊ยฮ์เลขที่ 2954 –รายงานจากท่านอะบูฮุรอยรอฮ์-ร่อดิยัลลอฮุอันฮุ-กล่าวว่า:ท่านร่อซูลุลลอฮ์-ศอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม-ได้ส่งเราไปทำลาดตะเวนในครั้งหนึ่ง และสั่งเราว่า : หากพวกท่านไปจับตัวคนนั้นคนนี้มาได้–เป็นชาย 2 คนจากพวกกุเรชพร้อมกับบอกชื่อให้เราทราบด้วย- ให้เอาไฟเผาเขาเสีย ท่านอะบูฮุรอยรอฮ์เล่าต่อว่า ครั้นเมื่อเราจะออกเดินทาง เราจึงมาหาท่านร่อซู้ลเพื่ออำลา ท่านจึงกล่าวกับพวกเราว่า: ฉันเคยสั่งให้พวกท่านทั้งหลายให้เอาไฟเผาคนนั้นคนนี้ แท้จริงไฟนั้นจะไม่มีผู้ใช้มันลงโทษนอกจากอัลลอฮ์ ดังนั้นหากพวกท่านจับตัวสองคนนั้นได้ก็จงประหารเขาเสีย(คือใช้ดาบอย่าเผา).
وقال الإمام البغوي الشافعي – رحمه الله – في كتابه “شرح السنة”(11/55) فأما تحريق الكافر بعدما وقع في الأسر، وتحريق المرتد، فذهب عامتهم إلى أنه لا يجوز.انتهى
อิมามอัลบะฆ่อวีย์ อัชชาฟิอีย์-ร่อฮิมะฮุลลอฮ์-กล่าวว่า ส่วนการเผากาฟิร(ผู้ปฏิเสธอิสลาม)หลังจากตกเป็นเชลยแล้วนั้นและการเผาผู้ที่มุรตัด(ผู้ละทิ้งศาสนา)นั้น ปราชญ์อิสลามโดยมากแล้วกล่าวว่าไม่อนุญาติ. (ชัรหุซซุนนะฮ์ 11/55)
وخرَّج مسلم عن شداد بن أوسٍ قال: ثنتان حفظتهما عن رسول الله صلى الله عليه وسلم، قال: إن الله كتب الإحسان على كل شيء، فإذا قتلتم فأحسنوا القِتْلةَ، وإذا ذبحتم فأحسنوا الذَّبح، وليُحِدَّ أحدكم شفرته، وليُرح ذبيحته.
ท่านอิมามมุสลิมได้รายงานจากชัดด๊าด บิน เอาซ์ กล่าวว่า สองประการที่ฉันท่องจำจากท่านร่อซูลุลลอฮ-ศอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม- คือ แท้จริงอัลลอฮทรงกำหนดให้ทำดีในทุกๆสิ่ง หากท่านจะประหารคนก็จงประหารด้วยดี(คือทำด้วยความรวดเร็ว ไม่ทรมาน ไม่ประจานศพ…) และเมื่อจะเชื่อดสัตว์ก็จงเชื่อดอย่างดี(รวดเร็ว ไม่ทรมานสัตว์…ก่อนเชือดนั้น) ท่านจงลับมีดให้คมกริบเสียก่อนและให้สัตว์ที่เราจะเชือดนั้นได้ผ่อนคลาย(ปล่อยให้มันดิ้นได้ ไม่รัดแน่นจนดิ้นหรือขยับตัวไม่ได้)
وفي كتاب أبي داود عن عبدالله قال: قال رسول الله صلى الله عليه وسلم: أَعَفُّ الناسِ قِتلةً أهلُ الإيمان.
ในหนังสืออิมามอบูดาวู๊ดรายงานจากอับดุลลอฮ กล่าวว่า ท่านร่อซูลุลลอฮ-ศอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม-ได้กล่าวว่า : ผู้ที่ระมัดระวังที่สุดในการฆ่าคือผู่ที่มีศรัทธา.
وفيه عن سمرة بن جندب وعن عمران بن حصينٍ أيضاً، كلاهما قال: كان رسول الله صلى الله عليه وسلم يحثنا على الصدقة، وينهانا عن المُثلة
ในตำราเล่มเดียวกันระบุว่า มีรายงานจากท่านซะมุรอฮ์บิน ญุนดุบและจากท่านอุมรอน บินหุศอยน์-รอดิยัลลอฮุอันฮุมา-ทั้งสองท่านได้กล่าวว่า : ท่านร่อซูลุลลอฮ-ศอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม –ส่งเสริมให้เราบริจาคทาน และห้ามเราประจานศพ.
– การกระทำของไอสิสนี้ โหดร้าย ไม่เกี่ยวข้องกับอิสลามแต่อย่างใด.
– แน่นอนการเผาเชลยศึกที่จับได้แม้เป็นกาฟิรก็ขัดคำสั่งท่านร่อซูลุลลอฮ-ศอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม-ดังนั้นการเผามุสลิมยิ่งเป็นการฝ่าฝืนที่ยิ่งใหญ่ เป็นบาปใหญ่มหันต์.ปราชญ์หลายท่านรายงานมติเอกฉันท์ในข้อห้ามนี้
– การกระทำดังกล่าวไม่ใช่การญิหาด แต่เป็นการอิฟซาด(สร้างความเสียหายบนหน้าแผ่นดิน) เป็นความสุดโต่งของพวกค่อวาริจ. (โดย อาจารย์คอลิด ปานตระกูล)
คำเเนะนำจากอุลมาอ์ต่อกลุ่มเหล่านี้
ไม่สมควรที่จะเรียก ดาอิช(กลุ่ม ISIS) ด้วยกับชื่อ รัฐอิสลาม เชค อัลลามะฮ์ อับดุลมุห์สิน อัล-อับบาด หะฟิศ่อฮุ้ลลอฮ์
คำถาม: ท่านเชคผู้ทรงเกียริต มีบางคนพูดถึง กลุ่มรัฐอิสลาม(ไอซิซ) ว่าแท้จริงเเล้วพวกเขาเป็นกลุ่มคอวาริญจ์ มันถูกต้องหรือไม่ครับ ?
ตอบ: ไม่เป็นที่สงสัยเลย ลักษณะต่างๆของพวกเขาและพฤติกรรมของพวกเขานี้ คือ พฤติกรรมกลุ่มคอวาริญจ์ รัฐที่พวกเขากล่าวถึงนั้นว่าเป็นรัฐของดาอิช(กลุ่ม ISIS) ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะกล่าวว่าเป็นรัฐของอิสลาม จะต้องถูกเรียกกว่ารัฐดาอิช นั้นเหมาะสมกว่า รัฐอิสลาม มีการเชือดคอคนด้วยมีดหรือ..!!! ฉันกำลังพูดว่าเชือดคอคนด้วยมีด…!!! มันคือการสร้างความเสียหาย และมันคือการเข่นฆ่า ซึ่งไม่มีมีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับอิสลาม
เเนะนำเว็ปไซต์