ความมหัศจรรย์ของอัลกุรอาน เเละตอบโต้ผู้ที่นำทฤษฏีทางวิทยาศาสตร์มาอ้างเพื่ออธิบายอัลกุรอาน
โดย ดร.อบูอิยาด อัมจ๊าด รอฟิก
แปลโดย อบูจัสมิน [ 20 มีนาคม 2564 ]
ความมหัศจรรย์ของอัลกุรอานถือเป็นหนึ่งในความมหัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ซึ่งได้รับการถ่ายทอด ผ่านบรรดานบีหรือศาสนทูต เเละความมหัศจรรย์ของอัลกุรอานนั้น มิได้จำกัดอยู่เเค่เรื่องใดเรื่องหนึ่งเท่านั้น นอกจากนี้ความมหัศจรรย์ของอัลกุรอานมีมากมายหลายแง่มุม ไม่ว่าจะเป็นความมหัศจรรย์ในด้านองค์ประกอบของภาษา มีรูปเบบ, โครงสร้าง, ที่สละสลวย สำหรับผู้ที่เข้าใจภาษาอาหรับอยู่เเล้ว พวกเขาสามารถเข้าใจได้โดยง่าย ซึ่งส่วนใหญ่เเล้ว ชาวอาหรับจะเป็นเจ้าบทกวีและมีวาทะศิลป์ เพราะภาษาอาหรับมิใช่เพียงภาษาเขียน โดยตรง เเต่จะเป็นภาษาสำหรับการพูดเสียมากกว่า จากที่ชาวอาหรับเป็นเจ้าบทกลอน มีวาทะศิลป์ การใช้สำนวนโวหารอยู่เเล้วนั้น เมื่ออัลกุรอานถูกประทานลงมา พวกเขาก็สามารถเข้าใจได้ในทันที เพราะไม่จำเป็นต้องเรียนรู้ ในด้านภาษาเพิ่มเติม มันคือความมหัศจรรย์ของอัลกุรอานในมุมมองทางภาษาจากที่กุรอ่านถูกประทานลงมาด้วยภาษาที่ชาวอาหรับสามารถเข้าถึงได้ในทันที โดยไม่ต้องไปเรียนรู้ด้านภาษาเพิ่มเติม ด้วยพื้นฐานทั้งศาสตร์ เเละศิลป์ทางภาษาที่ชาวอาหรับมีอยู่เเต่เดิมเเล้ว
อีกแง่มุมในความมหัศจรรย์ทางภาษาของอัลกุรอานคือ หากใครคนหนึ่งได้ฟังอัลกุรอาน ก็จะสัมผัสได้ถึงความสวยงาม และมันจะส่งผลต่อจิตใจ เเละจิตวิญญานของคนที่รับฟังได้ทันที นี่คือความมหัศจรรย์อีกอย่างหนึ่ง
เช่นเดียวกัน อุลามะอ์ได้กล่าวใว้ว่า ในอัลกุรอานนั้น มีข้อกำหนด มีหลักการต่างๆ ที่มีความครอบคลุม, ไม่เปลี่ยนเเปลงตามกาลเวลา, มีวิสัยทัศน์, ภายหลังจากที่ได้ศึกษา บทบัญญัติต่างๆ ในอัลกุรอาน เราก็จะพบว่านี่ก็เป็นความมหัศจรรย์อีกอย่างหนึ่ง เช่นเดียวกัน ในอัลกุรอาน มีคำสั่งใช้ในด้านคุณธรรมอันสูงส่ง, นำพาผู้คนไปสู่คุณลักษณะอันมีเกียรติ, มีคำสอนที่ยกฐานะผู้คนให้มีเกีรติ, มีวิธีการบ่มเพาะอบรม ให้กลายเป็นผู้ที่บริสุทธิ์ สิ่งเหล่านี้ ก็เป็นอีกหนึ่งความมหัศจรรย์
เช่นเดียวกัน อัลลอฮ์ -ซุบฮานะฮูวะตะอาลา- ได้ดึงความสนใจ ให้มาพิจารณาสัญญานต่างๆ ในการสร้างของพระองค์ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างดวงอาทิตย์, ดวงจันทร์, ดวงดาว, ทะเล, ก้อนเมฆ, การเกิดฝน, การเกิดลม, การเกิดภูเขา และเรื่องราวต่างๆ มากมาย สิ่งเหล่านี้นับเป็นอีกความมหัศจรรย์หนึ่ง ฉะนั้น ความมหัศจรรย์ของอัลกุรอานจึงไม่ได้จำกัดในด้านภาษาศาสตร์อย่างเดียวเท่านั้น เเต่ยังเกี่ยวข้องกับข้อมูลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกฏเกณฑ์ ที่มีรากฐานเเละวิธีการที่เเตกต่างกัน ดังที่บรรดาผู้รู้ได้อธิบายใว้เเล้ว
เรารู้ได้อย่างไรว่าอัลกุรอานนั้น ไม่ได้มาจากญิน? เพราะมีข้อคลุมเครือจากคนต่างศาสนิก ได้กล่าวหาว่าญินเป็นผู้ให้ข้อมูลแก่ท่านนบีมูฮัมมัดถึงสิ่งที่กล่าวใว้อัลกุรอาน
สาเหตุของเรื่องนี้ เกิดขึ้นมาจากมุสลิมที่โง่เขลา ได้คิดค้นวิธีการเชิญชวนคนต่างศาสนิกมาสู่อิสลาม พวกเขาใช้วิธีการที่เป็นสิ่งอุตริมาใหม่ นับเป็นความผิดพลาดที่ใหญ่หลวง เเละนี่คือหนึ่งในฟิตนะฮ์ทียิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้น ในยุคปลายศรรตวรรษนี้ ฟิตนะฮ์ที่ว่านี้ก็คือ เมื่อพวกเขาได้เห็นการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ เเล้วรู้สึกตื่นเต้นกับวิทยาศาสตร์ของคนต่างนิก จากสิ่งที่พวกนักวิทยาศาสตร์เหล่านั้น เพิ่งมาค้นพบในศรรตวรรษ 20 นี้ แล้วพวกเขาก็เริ่มวางรากฐานในสารระบบความเชื่อของพวกเขา ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับจักรวาล, ระบบสุริยะ และบิ๊กแบง(ทฤษฏีกำเนิดจักรวาล) จากนั้นพวกมุสลิมเหล่านั้น ก็พิจารณว่า เราจะต้องทำให้การค้นพบทางวิทยาศาสตร์เหล่านี้ กลายเป็นรากฐานในการเรียกร้องคนต่างศาสนิก สู่ศาสนาอิสลาม ด้วยการทำให้พวกเขาประหลาดใจว่า วิทยาศาสตร์เหล่านั้น ที่จริงเเล้วอัลกุรอานได้พูดใว้นานเเล้ว เป็นเรื่องที่มุสลิมรู้มานานเเล้ว นี่คือสิ่งที่พวกเขากล่าวกัน ในเเนวคิดพื้นฐาน
เเทนที่พวกเขาจะหันกลับไปดูตัฟซีร(คำอธิบาย)ของชาวสะลัฟ ของบรรดาซอฮาะฮ์ เปล่าเลย, พวกเขากลับเอาความหมายของอายะฮ์กุรอ่านเหล่านั้น มาเทียบสิ่งที่ตรงกับสิ่งทีนักวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ได้ค้นพบ เช่นสิ่งที่เราเห็นกันก็คือ จะมีคนออกมาอธิบายเรื่อง “ทฤษฏีบิ๊กแบงในอัลกุรอาน” หรือเรื่อง “การขยายตัวของจักรวาลในอัลกุรอาน”หรือจะเป็นเรื่อง “ความเร็วของเเสงในอัลกุรอาน” หรือจะเป็นเรื่อง “สสารมืดในอัลกุรอาน” หรือจะเป็นเรื่อง “หลุมดำในอัลกุรอาน” ทั้งหมดเหล่านี้ เป็นการบิดเบือนคัมภีร์ของอัลลอฮ์ ซุบฮานะฮุวะตาอาลา เป็นการโกหกต่ออัลลอฮ์ -อัซซะวะญัล-บุคคลที่ว่านี้ ได้เเก่ ซากิร ไนค์(Zakir Naik) และ ฮัมซะฮ์ จอร์จิส (Hamza Tzortzis) ฯลฯ ซึ่งนำเอา คำโต้เเย้งทางดาราศาสตร์ ในเรื่อง “บิ๊กแบง” ที่กล่าวว่า “จักรวาลนั้นถือกำเนิดขึ้นจากบิ๊กแบง” โดยนำมาอธิบายความหมายของอัลกุรอาน นี่คือ ความหลงผิด เป็นความมดเท็จ เป็นการคาดคะเนเเทบทั้งสิ้น ซึ่งยังมีคนประเภทนี้อีกมากมายที่ยังใช้วิธีการนี้ นี่คือวิทยาศาสตร์ของพวกปฏิเสธศรัทธา ไม่ว่าเป็นเรื่อง “จุดกำเนิดของจักรวาล” หรือ “จุดกำเนิดของมนุษย์” สิ่งนี้เหล่านี้เป็นเเค่การคาดเดา ซึ่งเป็นความหลงผิดอย่างเเท้จริง ทั้งหมดนี้เกิดจากสมมติฐานทั้งสิ้น
ความรู้วิทยาศาสตร์ในยุคศรรตวรรษที่ 20 ทั้งหมด ไม่ว่าเรื่องโลก, เรื่องดวงอาทิตย์ เรื่องดวงจันทร์ ศาสตร์เหล่านี้ล้วนสร้างบนฐานของความจริงที่ยังถูกปิดซ่อนใว้ วิทยาศาสตร์ในยุคก่อนหน้านี้ ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้ว ว่ามันยังถูกเปลี่ยนเเปลงได้อีก เช่นกรณีเรื่อง “โลกไม่มีการเคลื่อนที่” วิทยาศาสตร์ในยุคศรรตวรรษที่ 19 พิสูจน์ว่า “โลกมีการเคลื่อนที่” จนมาสู่วิทยาศาสตร์ในยุคศรรตวรรษที่ 20 ก็ใช้วิธีการคาดคะเนผ่านหลักการทางฟิสิกส์ และใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ เพื่อปกปิดความจริงว่าโลกนั้นไม่ได้เคลื่อนที่ และเราพบว่าทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของไอนสไตน์นั้น ยังใช้วิธีการทางฟิสิกส์มาอธิบายทฤษฎี ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง บิ๊กเเบง, จักรวาลขยาย, เเรงโน้มถ่วง,หลุมดำ ทั้งหมดเหล่านี้เป็นเเค่นิทาน ที่มาจากการคาดเดาทั้งสิ้น
พวกเขาคิดค้นเเนวคิด เเละสร้างมโนขึ้นมาผ่านกลเม็ดทางคณิตศตร์ และมายาคติทางคณิตศาสตร์ ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกนักปรัชญาเคยทำกันมาก่อน เป็นสิ่งที่ปรากฏมาจากความคิดของพวกเขา เเละพวกนักดาราศาสตร์ปัจจุบันก็ยังคงใช้วิธีนี้ สิ่งที่พวกเขาทำไม่ใช่แค่เรื่องของการทดลองทางเคมี เเต่พวกเขานำกลเม็ดทางคณิตศตร์ในความคิดของพวกเขา ซึ่งอยู่ในมโนภาพของพวกเขา มาสร้างทฤษฏี และตั้งเป็นสมมติฐานผ่านหลักการทางคณิตศาสตร์
อย่างที่บอกไปว่า ดาราศาสตร์ ล้วนเเล้วดำเนินอยู่บนฐานของการคำนวณ เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถควบคุมการทดลองได้ หรือสร้างทดลองได้ เราไม่มีบิ๊กเเบงอื่น หรือไม่มีการสร้างจักรวาลอื่นมาเพื่อสังเกตุการณ์และวิเคราะห์ ทุกอย่างมาจากการจำลองเชิงทฤษฎีทางคณิตศาสตร์ เป็นเเค่สมมติฐาน เเละการพิสูจน์ความจริงก็ด้วยหลักคณิตศาสตร์ ดังนั้น ใครก็ตามที่ต้องการพิสูจน์ว่าอัลกุรอาน มีความมหัศจรรย์ทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นวิทยาศาสตร์ของศรรตวรรษที่ 20 เขาผู้นั้น คือคนโง่เขลา พวกเขาได้ทำการโกหกต่ออัลกุรอานของอัลลอฮฺ การที่เขาบอกว่า “กุรอ่านกล่าวว่าจักรวาลนั้นกำลังขยายตัว” นั้นก็คือการกล่าวมดเท็จ หรือการกล่าวว่า “อัลกุรอานได้พูดถึงบิ๊กเเบง” ทั้งหมดเหล่านี้เป็นการโกหกต่ออัลลอฮ์
คำถามว่า ทำไม่ข้อคลุมต่างๆ ที่คนต่างศาสนิกตั้งขึ้นมานั้นได้ถูกเเพร่กระจายไปทั่ว นั้นก็เพราะว่ามุสลิมเอง ใช้วิธีการที่ผิดพลาด เพราะพวกเขาไม่รู้ว่า แท้จริงเเล้วการที่พวกเขานำการอธิบายความมหัศจรรย์ทางวิทยาศาสนตร์มาสร้างความประทับใจให้กับต่างศาสนิก ด้วยการนำสมมมติฐานต่างๆ มาอ้างในอัลกุรอาน สร้างช่องโหว่ให้กับต่างศาสนิกในการโจมตีอิสลาม จนสร้างความสับสนให้กับมุสลิม และกระจายข้อคลุมเครือต่างๆ เหล่านั้นออกไป
ดังนั้น เราศรัทธาในความมหัศจรรย์ของอัลกุรอาน และเราศรัทธาต่อศาสนทูตของพระองค์ เเละสิ่งเหล่านี้คือการเปิดเผยของอัลลอฮ์ ซุบฮานะฮุวะตาอาลา เราจึงขอเตือนให้ระวัง การเอาการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ของคนต่างศาสนิกมาอ้างว่าปรากฏในอัลกุอ่าน เพราะวิทยาศาตร์ส่วนใหญ่เเล้วสร้างบนฐานของความคิด โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับการกำเนิดจักรวาล เเละจุดกำเนิดมนุษย์ อย่าได้หลงไหลไปกับการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ของต่างศาสนิก เพราะการค้นพบวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่วางอยู่บนพื้นฐานของการคาดเดา คาดนะเน เเละความน่าจะเป็น
ซึ่งสิ่งที่เรากำลังพูดอยู่ก็คือเรื่องบิ๊กแบง ที่ยกกันขึ้นมาใช้ตอบโต้กลุ่มเอทิสต์(พวกปฏิเสธพระเจ้า) ที่จริงเเล้วมันเป็นการคาดคะเนทั้งสิ้น พวกเขาจะอยู่ในความผิดพลาด หากเชื่อในเรื่องนี้ โดยพื้นฐานเเล้ว พวกเขามักจะเล่นกับความรู้สึก ภาพลักษณ์ทางกายภาพ ด้วยการบอกเล่าบางอย่าง เพื่อให้ขัดกับความรู้สึกทางกาย ด้วยการบอกว่าสิ่งที่คุณกำลังมองเห็นอยู่นั้นเป็นเพียงภาพมายา เพราะคุณไม่รู้สึกเลยว่า โลกมันเคลื่อนที่ ดวงจันเเละดวงอาทิตย์ ดวงดาวมีการโคจร นี่คือสิ่งที่คุณเห็น และเป็นความสัมผัสของคุณ เเละตระหนักได้ว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่อัลลอฮ์บอกคุณใว้เเล้วในอัลกุรอาน ว่าดวงอาทิตย์ มีการเคลื่อนที่ พวกเขาต้องการให้คุณรู้สึกว่าคุณกำลังโดนหลอก สิ่งที่คุณเห็นนั้นไม่ใช่ความจริง เเละพวกเขาต้องการหันเหคุณให้เชื่อในการคาดคะเนของพวกเขา ให้คุณไปเชื่อคำหลอกลวงของพวกเขา เเละเชื่อในสิ่งที่พวกเขาปรุงเเต่งกันขึ้นมา ซึ่งไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ใดๆ เลย เป็นเเค่ข้อสันนิษฐานแและการคาดเดาให้น่าเชื่อถือ มันเป็นเพียงเเค่การตบตาด้วยกับสมการต่างๆ หรืออะไรทำนองนี้ ทำให้คนหลงเชื่อ ว่าสิ่งที่พวกเขาพูดเป็นความจริง แต่มันไม่ใช่เลย เมื่อคุณลองขุดคุ้ยเเละศึกษาเข้าไปให้ลึกๆ คุณก็จะเห็นประวัติความเป็นมาของเรื่องเหล่านี้ว่า “เป็นเพียงเเค่การคาดคะเน” เท่านั้นครับ
ถอดความจากคลิปตอบโต้มุสลิมที่เชื่อเรื่องบิ๊กแบง และเอาทฤษฏีนี้มาอ้างในอัลกุรอาน
จาก : https://www.youtube.com/watch?v=tESTEmBETMI