บิ๊กแบงในอัลกุรอาน!? #ตอนที่ 4

4บิ๊กแบงในอัลกุรอาน!? #ตอนที่ 4
สาร์นตักเตือนไปยัง นักตอบโต้มุสลิม ที่เอาสมมุติฐานทางวิทยาศาสตร์มาอธิบายอัลกุรอาน
เรียบเรียงโดยดร.อบูอิย้าด อัมจ้าด รอฟิก 

เส้นคั่น1Red-shift (การเลื่อนไปทางสีแดง)

red-shift
Red shift เบาะเเสที่สำคัญของบิ๊กแบง

หลักฐานสำคัญสำหรับแบบจำลองบิ๊กแบงจอมปลอมนี้ปรากฏอยู่ในการยืนยันในเรื่อง Red-shift (การเลื่อนไปทางสีแดง) คือ การเปลี่ยนตำเเหน่งของเส้นสเปกตรัมในการเเผ่รังสี ที่มีความยาวคลื่นเพิ่มขึ้น [19] ซึ่งใช้ในการวัดความเร็วเเละระยะทางเท่านั้น [20] เพื่อยืนยันคำกล่าวอ้างที่ว่า จักรวาลกำลังขยายตัวอยู่ และในตรงกันข้ามของมันหากนับเวลาย้อนถอยหลังกลับไป ก็เท่ากับว่าจักรวาล ครั้งหนึ่งเคยมาจากจุดที่เป็นมวลเดียว เล็กมากเป็นอนันต์ กระทั่งเริ่มมาจากศูนย์ ไม่มีอะไรเลย [21] หรือเรียกว่า “singularity” แล้วจึงเกิดระเบิดขึ้นในทันใดจากจุดที่หนาเเน่นและร้อนเป็นอนันต์ “singularity” นั้น เมื่อประมาณหนึ่งหมื่นสี่พันล้านปีที่เเล้ว ขยายตัวและเย็นลง เปลี่ยนเเปลงสู่สิ่งต่างๆ จนเราสามารถสังเกตและพบเห็นได้.

นั่นเเสดงให้เห็นว่า การตีความทั้งหมดของแบบจำลองนี้ ขึ้นอยู่กับการศึกษาในเรื่อง red-shift ที่ให้คำอธิบายเเละบ่งชี้ถึงความเร็วเเละระยะทางของแต่ละกาเลกซี่ และนำไปสู่การตีความเรื่องอื่นๆ [22]

[19 – เมื่อเเสงส่องผ่านปริซึมมันจะเเยกและสร้างสเปกตรัม (แสดงสีของรุ้ง) ฝั่งหนึ่งเป็นสีเเดง อีกฝั่งเป็นสีน้ำเงิน ดาวฤกษ์และกาแลคซีให้แสงที่เป็นสเปกตรัม ซึ่งเส้นเเสงอาจเลื่อนไปทางด้านสีแดงมากกว่า ศาสนาบิ๊กแบงตั้งอยู่บนฐานของการตีความนี้ การขยับไปทางแดง ‘red-shift’ ว่าได้รับการตีความอย่างไร เพื่อเป็นตัวชี้วัดความเร็วเเละระยะทาง อ้างอิงขนาด อายุ และการขยายตัวของจักรวาล ใช้เป็นสิ่งยืนยันในเรื่องนี้ ถ้าหากการยืนยันนี้ได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นเท็จ ศาสนาบิ๊กแบงทั้งหมดก็จะเป็นโมฆะ ]

[20- วิธีการ “Dozens of mechanisms” เกิดขึ้นมาเพื่ออธิบาย การขยับไปทางแดง “red-shift” อ้างอิงจากเอกสารของ ลุยส์ มาร์เมต (ปี 2014) หัวข้อ “On the Interpretation of Red-Shifts: A Quantitive Comparison of Red- Shift Mechanisms II” (วันที่ 4 ธันวาคม ค.ศ.2014) เอกสารนี้มุ่งเน้นไปที่ 59 วิธีการ อธิบายการสังเกตการขยับไปทางแดง(red-shift). เกือบครึ่งหนึ่งของเอกสารเกี่ยวข้องกับเรื่องระยะห่าง และส่วนที่เหลือเกี่ยวข้องกับเเนวคิดเรื่องการขยายของจักรวาล ซึ่งศาสนาบิ๊กแบงต้องพึ่งพาเรื่องนี้]

[21-  ศาสนาบิ๊กแบง เชื่อว่า ไม่มีผู้สร้างหรือทุกอย่างเกิดขึ้นมาเองจากที่มันไม่เคยมีมาก่อน โดยบางคนที่คิดว่าตัวเองฉลาดที่สุดเเล้วบนโลกนี้ สถาปนาตัวเองเป็นนักวิทยาศาสตร์และเอทิสต์ สาระสำคัญของหลักความเชื่อในศาสนานี้คือ จักรวาลระเบิดไปสู่อะไรบางอย่างจากสิ่งที่มันไม่เคยมีมาก่อน และมันได้ขยายเติบโตขึ้นผ่านการขยายตัว มีสิ่งต่างๆ เพิ่มขึ้นจากที่มันไม่มีมาก่อนเลย ปัญหาเเรกสุดและท้ายสุด ของจักรวาลวิทยาสมัยใหม่นี้ สามารถเเก้ใขได้โดยพูดว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างมาจากไม่มีอะไรเลย” นี่คือความเชื่อทางศาสนาที่พิสูจน์ความวิกลจริตของผู้ที่ยึดถือมัน

สำหรับสิ่งที่ได้รับการเปิดเผยในคัมภีร์ ชั้นฟ้าทั้งหลายเเละเเผ่นดินถูกสร้างขึ้นตามการดำเนินไปของเวลาโดยมีผู้สร้างมัน เป็นสิ่งที่ดูมีเหตุผลและจิตสำนึก สติปัญญาสามารถยอมรับได้อย่างง่ายดาย สำหรับคนที่ไม่มีความเย่อหยิ่ง ทนงตน

เมื่อมีสองทางเลือกปรากฏอยู่ตรงหน้าคนหนึ่ง เป็นสิ่งดูเหมือนจะได้รับการออกแบบมา

1 ) จากการกระทำของผู้ที่ออกแบบมันขึ้นมา
2 ) จากการขยายขึ้นมาจากความว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย กลายเป็นบางอย่างที่เปลี่ยนเเปลงไปตามกะบวนการที่ไม่มีทิศทางเเน่นอน กระบวนการที่ไม่มีเป้าหมาย เกิดเป็นภาพมายาของการออกเเบบ คนที่มีเหตุผลและสัจจริง จะเลือกผู้สร้าง เองตามประสบการณ์ของมนุษย์ที่ปราถนาให้มันเป็น

ชัยคุลอิสลาม อิบนุ ตัยมิยะฮฺ กล่าวว่า “ฉันขอกล่าวว่า ไม่มีคนรุ่นก่อนๆ ของประชาชาตินี้ หรือนักวิชาการชั้นนำคนใด ที่กล่าวว่า บรรดาท้องฟ้าเเละโลกมันได้ถูกสร้างขึ้นมาโดยไม่มีอะไรเกิดมาก่อน และถึงแม้ว่าจะมีการสันนิษฐานโดยอะฮฺลุลกาลาม จากที่พวกเขาอนุมานหลักฐานขึ้นมาสำหรับมัน,มันเป็นคำกล่าวที่ไร้ประโยชน์ และเช่นเดียวกัน ไม่มีคนรุ่นก่อนๆ ของประชาชาตินี้ หรือนักวิชาการของเราคนใด ที่กล่าวว่าบรรดาท้องฟ้าเเละโลก ไม่ได้สร้างถัดมาจากสิ่งที่มีมาก่อนหน้ามัน ยิ่งกว่านั้น เป็นสิ่งที่ได้รับรายงานมาอย่างเเพร่หลาย(มุตาวาติร) ว่าสิ่งเหล่านั้นถูกสร้างต่อมาจากสิ่งที่มีก่อนนั้นในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เเละมีการอ้างโดยพวกอะฮฺลุลกาลามส่วนใหญ่ รวมท้ังพวกญะมียะฮฺในเรื่องที่เกี่ยวกับจุดเริ่มต้นของการสร้าง (ว่ามาจากไม่มีอะไรมาก่อน) เช่นเดียวกับที่พวกเขากล่าวในเรื่อง จุดสิ้นสุด ว่าวัตถุต่างๆ ของเอกภพทั้งหมดจะพังพินาศ “ไม่เหลืออะไรซักอย่าง” และความคิดอุตรินี้เป็นเเค่เรื่องที่ไร้สาระทั้งสิ้น จากมติของบรรพชนของอุมมะฮ์และบรรดาอิหม่ามชั้นนำ”

[ที่มา Bayān Talbīs al- Jahmiyyah (2/459-461).]

เชคกล่าวต่อไปว่า “เเละเช่นเดียวกับคำพูดของพวกเอทิสต์(พวกปฏิเสธการมีอยู่ของผู้สร้าง) ที่กล่าวว่า ท้องฟ้าจะไม่หยุดนิ่งอยู่บนสถานะที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และจะไม่หยุดอยู่เช่นนี้

นี่คือการปฏิเสธที่ชัดเจนและไม่เป็นที่รู้จักในสิ่งที่ปรากฏในอัลกุรอาน ในสิ่งที่บรรดาผู้ศรัทธาเป็นเอกภาพกันบนสิ่งนี้
เเละเป็นสิ่งที่พวกเขารู้กันด้วยข้อมูลที่มาจากบรรดาศาสทูต (ในประเด็นที่เกี่ยวกับการสร้างชั้นฟ้าทั้งหลาย) เช่นเดียวกัน คำพูดของญะมี่ยะฮฺหรือคนอื่นๆ ที่กล่าวว่า “ชั้นฟ้าต่างๆ และโลกถูกสร้างมาไม่มีสสารและเวลามาก่อน และพวกมันจะพังพินาศและถูกทำลายทั้งหมด” หรือว่า “สวรรค์จะหมดวาระของมันเช่นกัน” ทั้งหมดนี้ ล้วนเเต่ขัดเเเย้งกับอายะฮฺกุรอ่าน และมันเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้บรรดาคนดีในยุคก่อนๆได้ ตักฟีร(ตัดสินเป็นคนตกศาสนา)พวกนั้น(ญะมียะฮฺ)

เเม้ว่า การปฏิเสธศรัทธาของกลุ่มคนที่กล่าวถึงในตอนเเรก(พวกเอทิสต์) จะชัดเจน แต่เจตนาที่หมายถึง ณ ตรงนี้ก็เพื่อชี้ให้เป็นถึงการการเฉไฉในข้อพิสูจน์ต่างๆ ของเอทิสต์ ผู้ปฏิเสธว่ามีผู้สร้าง ผู้ทรงสูงส่ง พวกอยู่เขาตรงกันข้าม และพวกญะมียะก็รับเอารากฐานความเชื่อที่เสียหายบางส่วนนี้เข้ามา”]

[ที่มา Bayān Talbīs al-Jahmiyyah (2/473).]

[22- การตีความเรื่องการเลื่อนไปทางสีเเดง(Red-Shift.) – แบบจำลองบิ๊กแบงจะพังราบเป็นหน้ากลองทันทีหากแสดงให้เห็นว่าการเลื่อนไปทางสีแดง – ไม่ได้เท่ากับความเร็วและระยะทาง – ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมมันได้ถูกปกป้องอย่างมาก และมีการปิดกั้นเรื่องนี้กันตามสถาบันต่างๆ เพราะเรื่องนี้จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับทุกเรื่องของมันรวมไปถึง ทฤษฏีวิวัฒาการด้วย]

[23- การตีความเรื่องการเลื่อนไปทางสีเเดง(Red-Shift.) – แบบจำลองบิ๊กแบงจะพังราบเป็นหน้ากลองทันที หากมีข้อบ่งชี้ว่าการเลื่อนไปทางสีแดง ไม่เท่ากับความเร็วและระยะทาง ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมมันได้ถูกปกป้องอย่างมากมาย ตามสถาบันต่างๆ มีการปิดกั้นเรื่องนี้

อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อถกเถียงกันอย่างมากมายในประเด็นนี้อย่างชัดเจนว่า red-shift เท่ากับความเร็วเเละระยะทาง ข้อคาดเดานี้ เป็นรากฐานของเรื่องราวทั้งหมด แต่ข้อมูลทั้งหมดได้ชี้ไปในทางตรงกันข้ามด้วยการศึกษาอย่างละเอียดในเรื่องเควเซอร์(quasar – Quasistellar Radio Sources หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า แหล่งกำเนิดของคลื่นวิทยุคล้ายกับดวงดาว) บุคคลหนึ่งที่ศึกษาเรืองนี้คือ ดร.ฮอลตั้น อ้าป(Halton Arp – นักดาราศาสตร์ชื่อดังที่ทำงานร่วมกับเอ็ดวิน ฮับเบิล – ตอนหลังถูกไล่ออก)

หากเรายอมรับข้อสันนิษฐานที่ว่า red-shift เท่ากับความเร็วเเละระยะทาง ข้อมูลจากการสังเกต ก็จะขัดเเย้งกับเรื่องโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาลโดยปริยาย เพราะการตีความ red-shift เเสดงให้เห็นว่า กาเเลกซี่ต่างๆ โครจรเป็นวงกลมเคลื่อนห่างออกจากโลกทุกทิศทาง ทำให้โลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล เเสดงถึงกลเม็ดที่พวกเขากำลังตบตาผู้คน”

อ้างอิงจาก บทความเรื่อง “Cosmologist Claims Universe May not be Expanding in Nature”, (16th July 2013).

ฮอลตั้น อ้าป เป็นนักดาราศาสตร์ ผู้คัดค้านทฤษฏีบิ๊กแบง ข่าวการเสียชีวิตด้วยวัย 86 ของเขายังปรากฏบนหน้าวารสารทั้งนิวยอร์ก ไทม์ (ฉบับวันที่ 6 มกราคม 2014) และเทเลกราฟ (ฉบับวันที่ 26 มกราคม 2014) ท่านสามารถอ่านบทความเพิ่มเติมในประเด็น Planck Satellite Data, Lawrence Krauss and the Earth at the Center of the Universe ได้ที่ http://aboutatheism.net/?ghyiwfg.

arp
Halton Arp ผู้ได้ฉายะว่า เกลิเลโอ แห่งยุค

มีบทความที่น่าสนใจอีกชิ้นหนึ่งเรื่อง “The Red-shift Hypothesis for Quasars: Is the Earth at the Centre of the Universe?”
( สมมติฐาน การเลื่อนไปทางเเดงของเควเซอร์เป็นตัวบ่งชี้ว่าโลกอยู่ศูนย์กลางของจักรวาลจริงหรือ? )

[บทความนี้ได้รับการตีพิมพ์ลงในวารสาร “Astrophysics and Space Science” ฟิสิกส์ดาราศาสตร์และอวกาศวิทยา บทที่ 43 ประเด็นที่ 1 หน้าที่ 3-8 ปี 1976 ผู้เขียน (ดร.) Y. P. Varshni ความว่า ]

“เเสดงให้เห็นว่าการตีความทางจักรวาลวิทยา ของการเปลี่ยนเเปลงสีสเปกตรัม (the red- shift) ของเควเซอร์ ผลของมันนำไปสู่ข้อขัดเเย้งอื่นอีก นั่นคือเรื่องโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล เป็นผลตามมาจากการพิจารณาเรื่องนี้ เป็นผลพวงมาจากคำโต้เเย้งของเขา ผลลัพธ์ของมัน (อยู่ในทางตรงข้ามกับผลพวงที่เป็นไปได้อื่นๆ) คือเรื่องที่ว่าโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล”

การจัดเรียงของเควเซอร์ในรูปแบบก้นหอย อธิบายได้เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับโลกเท่านั้น รูปเเบบเหล่านี้จะไม่ปรากฏ หากมองมาจากกาเเลกซี่หรือเควเซอร์อื่น ซึ่งหมายความว่าจะเอามาใช้เป็นหลักการในเรื่องที่เกี่ยวกับดาราศาสตร์ไม่ได้ รวมถึงการนำระบบพิกัดของโลก “a coordinate system fixed to the Earth” มาใช้เป็นกรอบอ้างอิงตำแหน่งในเอกภพด้วย

ฉะนั้น การนำทั้งทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ และทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป (Special and the General Theory of Relativity) มาใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางจักรวาลวิทยาก็จะต้องถูกละทิ้งไปด้วย

สิ่งนี้ทำให้ฮอลตัน อาร์ป และวาร์ชินี ต่างก็ถูกคุกคามจากพวกคลั่งลัทธิบิ๊กแบง กลุ่มคนเหล่านั้นพยายามทำให้คำพูดและงานวิจัยของเขาสูญหาย เพื่อให้เเน่ใจว่ามันจะไม่กลับมาทำให้พวกเขาเองต้องหลุดออกจากศาสนาบิ๊กแบงนี้

“หากสิ่งที่อาร์ปอธิบายถูกต้อง หากการสังเกตการณ์ของเขาได้รับการยืนยัน เขาจะเป็นเพียงคนเดียวที่จะทำให้รากฐานของวงการดาราศาสตร์สมัยใหม่ต้องสั่นสะเทือน ถ้าสิ่งที่เขาพูดถูกต้อง เสาหลักหนึ่งของดาราศาสตร์และจักรวาลวิทยาสมัยใหม่จะต้องล่มสลายสู่ความวุ่นวาย ยากที่จะหาสิ่งอื่นมาทดเเทน นับตั้งเเต่นิโคเลาส์ โคเปอร์นิคัสนำเสนอ แบบจำลองระบบดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางสมบูรณ์ ซึ่งดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของเอกภพ มิใช่โลก อย่างภาคภูมใจ ”

[โดย วิลเลี่ยม เคาฟ์มัน ใน “The Most Feared Astronomer on Earth” – สิ่งที่นักดาราศาสตร์ที่กลัวมากที่สุดในโลก – Science Digest, 89[6]:76-81,117, July 1981.]

“เรดชิฟส์-ในตัวมันเอง-ไม่ได้เป็นสัญญานบ่งบอกอายุหรือระยะทางของดวงดาว เรดชิฟส์เป็นแค่เบาะเเสพื้นฐาน ผ่านวิธีการที่กำหนดกันขึ้นมา ไม่ใช่แค่ใช้อ้างความเร็วของวัตถุใดๆ แต่ยังใช้อ้างอิงถึงอายุ และระยะทางของมันอีกด้วย หากการตีความเรดชิฟส์ ผิด หลักฐานทั้งหมดที่บอกว่าจักรวาลกำลังขยายตัวก็จะหมดสิ้นไป ทุกอย่างที่ได้วาดวางใว้ เกี่ยวกับเรื่องราวของท้องฟ้า จะถูกทำลาย ไม่ใช่แค่ทฤษฏีบิ๊กแบงจะพังทลายลงเท่านั้น แต่นักวิทยาศาสตร์จะไม่สามารถที่จะระบุได้ว่ากาเเลกซี่ที่อยู่ใกล้ที่สุดกำลังเคลื่อนที่อยู่หรือไม่ รวมไปถึงการอธิบายการพฤติกรรมของจักรวาลทั้งหมด”

[โดยคาเรน ฟอก จากบทความ “The Big Bang Theory—What It Is, Where It Came from, and Why It Works” – ทฤษฏีบิ๊กแบง คืออะไร มาจากใหน ทำไมมันจึงบังเกิดผล – (New York: John Wiley & Sons, 2002) หน้าที่. 129.]

เอทิสต์ เอดวิน ฮับเบิ้ล เคยยอมรับเรื่องเรดชิฟต์ว่าเท่ากับความเร็วเเละระยะทาง สิ่งนี้กระตุ้นปลุกให้เขาต้องเขียนข้อความลงในหนังสือของเขา (เมื่อปี ค.ศ.1937) ว่า

“เงื่อนใขดังกล่าวจะบ่งบอกว่าเรานั้นยืนอยู่ในตำแหน่งหลักจำเพาะ ในจักรวาล เเต่การตั้งสมมติฐานที่ไม่พึงประสงค์ของตำแหน่งที่ต้องการ ก็ต้องหลีกเลี่ยงไป ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ยิ่งไปกว่านั้นยังหมายความว่าทฤษฏีย่อมมีความคาดเคลื่อน เพราะทฤษฏีนั้นมาจาก สมมติฐาน”

[จากบทความ The Observational Approach to Cosmology (pp. 50-59).]

“กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า ข้อเท็จจริงที่มาจากการสังเกต ขัดเเย้งกับปรัชญาของเรา ดังนั้นเราจำเป็นต้องบิดเบือนข้อเท็จจริงเหล่านั้นไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เพื่อหลีกเลี่ยงข้อสรุปที่ไม่เอื้ออำนวย”

ความจริงไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ ฮับเบิ้ลได้ระบุใว้อย่างชัดเจนว่า “มีความเป็นไปได้ที่เรดชิฟส์ อาจเป็นสาเหตุอื่นๆ ที่เชื่อมโยงกับระยะเวลาอันยาวนาน หรือเกี่ยวข้องกับระยะทางในการเดินทางของเเสงสู่ผู้สังเกตมัน”

ฮับเบิ้ลได้เขียนว่า “ดูเหมือนว่า เรดชิฟส์ อาจไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องจักรวาลขยายตัว และการพิจารณาโครงสร้างของเอกภาพ อาจต้องได้รับการตรวจสอบอีกครั้ง”

[หนังสือ “Astronomical Society of the Pacific-ประชาคมดาราศาสตร์เเห่งเปซิฟิก”, (1947) 15, หน้าที่. 773.]

เเม้จะเป็นข้อเท็จจริงที่ว่า ฮับเบิ้ล ดูเหมือนจะเปลี่ยนความคิดของเขาในเรื่อง การตีความเรดชิฟต์ (เนื่องจากมีผลกระทบร้ายแรง)ในเวลาเดียวกัน มันได้ให้ข้อเท็จจริง แก่จักรวาลวิทยาสมัยใหม่ โดยปราศจากความเอนเอียง ข้อมูลแสดงให้อย่างชัดเจนว่า โลกเป็นศูนย์กลาง มีตำเเหน่งจำเพาะ หน่วยวัด The Hubble Constant(H0) (สัดส่วนระหว่างความเร็วสัมพัทธ์และระยะห่าง) ใช้ในการคำนวณอัตราการขยายตัวของจักรวาล แต่มันก็ยังไม่ได้เป็นที่ยอมรับ เนื่องจากมันไม่สามารถวัดค่าได้เหมือนกับระยะทาง น้ำหนัก หรือความเร็วของวัตถุโดยทั่วไป ซึ่งคำนวณด้วยวิธีการเชิงประจักษ์ได้โดยตรง

ด้วยเหตุนี้ มันจึงได้รับการเเก้ใขซ้ำเเล้วซ้ำเล่า และคำนวณจากตัวแปรสมมติอื่น ๆ (assumed variables) รวมทั้งตัวประกอบการปรับแก้(correction factors.) ตลอดระยะเวลา 80 ที่ผ่านมา

ค่าของมันมีตั้งแต่ 36 ถึง 500 เพื่อสร้างตัวเเปรขนาดใหญ่ ในการคำนวณ,อายุของจักรวาล บ้างก็คำนวณได้ สองพันล้านปี ไปจนถึง หนึ่งหมื่นเเปดพันล้านปี แน่นอนมีผล อย่างมากต่อทฤษฎีวิวัฒนาการและวิทยาศาสตร์คาดเดาที่เชื่อมโยงกับมัน
ซึ่งค่าเหล่านี้ไม่มีข้อตกลงที่เป็นเอกฉันท์ แม้ว่ามันจะเป็นกุญแจสำคัญในเรื่องจักรวาลวิทยาก็ตาม เรื่องเหล่านี้ยังคงเป็นข้อถกเถียงกันอย่างไม่จบสิ้น

“เเน่นนอน ค่าที่ถูกต้องของ H0 ยังคงเป็นข้อพิพาท”

[ที่มา Christopher DePree and Alan Axelrod, “The Complete Idiot’s Guide to Astronomy,” (Indianapolis, IN: Alpha, 2nd edition, 2001), (p. 328).]

คำพูดสั้นๆ ด้านบนนี้สำหรับคน หลับหู หลับตาตาม ทั้งหลายใว้พิจารณา คำหลอกลวงของพวกเอทิสต์ที่กล่าวว่า “ตอนนี้เราได้พิสูจน์เเล้ว…” หรือ “ตอนนี้เรารู้เเล้วว่า..”

จากสมมุตฐานทางจักรวาลวิทยาที่สวมด้วยคำศัพท์ทางวิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ ปรุงเเต่งให้สวยงาม ด้วยคำพูดสละสลวย หาสาระไม่ได้ จากค่า H0 ที่ผ่านการคัดเลือกมาอย่างรอบคอบ เพื่อให้เหลือพื้นที่สำหรับเอื้อต่อคำอธิบายเรื่องจักรวาลวิทยา ธรณีวิทยา และทฤษฏีวิวัฒนาการของดาร์วินส์…

“จากการคัดกรองที่ลำเอียง การตัดสินว่าถูกหรือผิดขึ้นอยู่กับว่าสิ่งนั้นได้มาสนับสนุนบิ๊กแบงหรือไม่ ดังนั้นข้อมูลใดๆ ที่ไม่สอดคล้องในเรื่องเรดชิฟส์,อนุภาคลิเธียมและฮิเลี่ยม,การกระจายของกาเเลกซี่ เรื่องเหล่านี้จะถูกเพิกเฉย ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ สะท้อนให้เห็นถึงความดันทุรังที่เจริญเติบโตขึ้นในความคิด

ทุกวันนี้ แหล่งทรัพยากรทางการเงินแทบทั้งหมดได้ทุ่มเทไปกับการทดลองในด้านจักรวาลวิทยา มุ่งไปกับการศึกษาเรื่องบิ๊กแบง ด้วยแหล่งเงินทุนเพียงไม่กี่แหล่ง มีกลุ่มคนผู้สนับสนุนทฤษฏีบิ๊กแบง เป็นคณะตรวจสอบคอยดูเเลอยู่ จึงมีการครอบงำทฤษฏีบิ๊กแบงจากผู้คอยค้ำชูมันเอาไว้โดยไม่สนใจว่า ทฤษฏีนี้จะถูกผิดย่างไร “[23]

[ 23 – จดหมายเปิดผนึกส่งไปถึงชุมชนนักวิทยาศาสตร์ ตีพิมพ์ในวารสาร New Scientist วันที่ 22 พฤษภาคม ค.ศ. 2004.]

“ยังคงมีสมมติฐานใหม่ๆ เพิ่มเข้ามาในทฤษฏีนี้อย่างต่อเนื่อง จากผู้ที่เห็นว่า ข้อสันนิษฐานที่ว่าจักรวาลขยายตัวมาจากจุด
ที่หนาเเน่น และร้อน เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เอกสารต่างๆ ได้รับการตีพิมพ์จำนวนมาก เปิดเผยจุดอ่อนของทฤษฏี ยิ่งสร้างความชัดเจนว่าทฤษฏีบิ๊กแบง กำลังทรุดตัวลงเนื่องด้วยน้ำหนักของตัวมันเอง เพราะมันไม่เคยได้รับ การทดสอบสมมติฐานใด ๆ เลย

แบบจำลองบิ๊กแบงล้มเหลวซ้ำเเล้ว ซ้ำเล่า จากสิ่งคาดเดาและการสังเกต แทนที่ด้วยข้อปฏิเสธต่อสันนิษฐานเบื้องต้น ในเรื่องความร้อนในช่วงเเรกเริ่ม, สถานะความหนาแน่นของจักรวาล, สมมติฐานที่เพิ่มเติมเข้ามา ได้ถูกนำไปซ่อนเอาใว้เนื่องจากมันไม่มาสอดคล้องกับทฤษฏี” [24]

[ 24- ข้อความของลุยส์ มาร์เมต ซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ ในเชิงทดลองทางฟิสิกส์ ผู้อุทิศตัวให้กับ การวัดสเปคโตรสโคปี (spectroscopy) กลศาสตร์ควอนตัม และทฤษฏีรากฐานของฟิสิกส์ เขาทำงานเกี่ยวกับการพัฒนานาฬิกาอะตอม(atomic clocks) เพื่อให้ได้ ค่าทางกายภาพที่เเท้จริงของ”ระบบหน่วยวัดระหว่างประเทศ” หรือ “ระบบเอสไอ” (the international SI second) มาร์เมตกำลังพัฒนา ค่ามารตฐานหลักของ เวลา ซึ่งจะมันจะไม่ลดลงหรือเพิ่มขึ้นไปกว่าหนึ่งในล้านของวินาทีในรอบ 5 ปี และมีผลตลอดไป ทั้งในทางฟิสิกส์ ดาราศาสตร์ คณิตศาสตร์ และปรัชญาวิทยาศาสตร์ อ้างอิง จากบทความ http://cosmologyscience.com/]

“ดาราศาสตร์ ไม่สามารถใช้หลักฟิสิกส์เชิงทดลอง ที่เป็นไปตามกฏระเบียบได้ เพราะการทดลองในเรื่องจักรวาลอยู่เหนือการควบคุม เช่น ไม่สามารถตรวจสอบได้อย่างอิสระ มันมีเเต่ความคลุมเครือเเละความเสื่อมถอย [25]”

[ 25 – คำว่า “เสื่อมถอย” ในเเง่วิทยาศาสตร์ หมายถึง ข้อสังเกตต่างๆ ที่สามารถอธิบายได้จากแบบจำลองหลายๆ รูปแบบ และเเต่ละอย่างปรากฏข้อเท็จจริงขึ้นเรื่อยๆ]

สมมติฐานหลักทั้งหมดในสาขานี้ ไม่ได้รับการยืนยัน (หรือไม่สามารถพิสูจน์ได้) ด้วยห้องปฏิบัติการ และนักวิจัยก็พอใจกับการคิดค้นคำอธิบายที่ไม่มีใครรู้จัก เพื่ออธิบายสิ่งที่ไม่มีใครรู้จัก …
ผมเชื่อว่าดาราศาสตร์จะไม่มุ่งสู่อนาคตที่ดี นอกจากว่าหน่วยงานด้านเงินทุนจะคิดทบทวนแผนต่างๆ ใหม่เสีย ด้วยการสนับสนุนให้ออกห่างจาการคลำหาสิ่งต่างๆจากที่มืดแบบนี้ [26]

[26 – ริชาร์ด ลิวอู ศาสตราจารย์ทางด้านฟิสิกส์ดาราศาสตร์ มหาวิทยาลัย อะลาบาม่า ในบทความของเขา “λCDM cosmology” (วันที่ 17 พฤศภาคม 2007 ) ระบุว่า : มีหลักฐานที่น่าเชื่อถืออยู่เท่าใหร่กัน และเเบบจำลองที่ยกกันมานั้น ใช้หลักฐานเหล่านี้ทั้งหมดหรือ ?]

จากจุดเริ่มต้น การคาดเดาต่างๆ นานา ได้ถูกเพิ่มเข้าไปในแบบจำลองบิ๊กแบงอย่างต่อเนื่อง และแบบจำนองนี้ ได้รวบรวมเอาการคาดเดา ทั้งหมดเอาใว้ รวมทั้งสมมติฐานต่างๆ ที่เอามาซ้อนทับชั้นเเล้วชั้นเล่า [27]

[27 – ดาราศาสตร์ (การศึกษาจุดกำเนิดเเละจุดสิ้นสุดของจักรวาล) ตั้งอยู่บนหลักปรัชญาที่เรารู้จักในปัจจุบัน คือ หลักโคเปอร์นิคัส (the Copernican Principle) ซึ่งเเยกย่อยมาจาก หลักการพื้นฐานจักรวาลวิทยา the (Cosmological Principle)

ประการเเรก คือโลกไม่ได้มีตำแหน่งจำเพาะของตัวเองในจักรวาล และประการที่สอง คือไม่สำคัญว่าคุณจะอยู่ส่วนใหนของเอกภพทุกอย่างที่ปรากฏมา เหมือนกันทุกจุด ไม่มีสถานที่จำเพาะ สภาพเอกภพเป็นแบบ isotropic (เอกภพนั้นเหมือนกันหมดจนแยกไม่ออก ไม่ว่าจะมองไปยังทิศทางไหนก็เหมือนกันหมด) และแบบ homogeneous (เอกภพของเรานั้นเหมือนกันหมดทุกๆ จุด)

จากหลักฐานมากมาย (เชิงประจักษ์,สังเกตการณ์)ได้ทำให้หลักการทางจักรวาลวิทยานี้เป็นโมฆะ ความเชื่อโดยทั่วไปและหลักฐานเเสดงให้เห็นว่า โลกมีพิกัดจำเพาะของตัวเองในจักรวาลและเป็นศูนย์กลางตามข้อเท็จจริง

… การนำหลักฐานเหล่านี้ไปใช้ และการนำไปเปิดเผยต่อสาธารณชน ไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากต้องหลบๆ ซ่อนๆ ในขณะที่ข้ออ้างที่สร้างขึ้นมาให้กับแบบจำลอง ยังคงได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวาง …

คำกล่าวอ้างที่เป็นเท็จ ตั้งเเต่เรื่อง การพองตัว สสารมืด เเละพลังงานมืด ถูกคิดขึ้นมาเพื่อเป็นโครงสร้างของทฤษฏี เพื่อยืดอายุให้กับแบบจำลอง(บิ๊กเเบง) จากที่มันเกือบจะตายเเล้ว

ผู้คนส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเข้าใจคำศัพท์ทางเทคนิค หรือการนำไปใช้ที่แท้จริง ในสิ่งที่ถูกการค้นพบขึ้น มันช่วยให้นักวิทยาศาสตร์สามารถกล่าวอ้างถึงสิ่งแปลกๆ กันได้ต่อไป คิดค้นวิธีการทางฟิสิกส์ขึ้นมาเพื่อรักษาแบบจำลองนั้นเอาใว้

อ้างอิงจากบทความ , Planck Satellite Data, Lawrence Krauss and the Earth at the Center of the Universe at http://aboutatheism.net/?ghyiwfg.]

จากสิ่งที่ได้กล่าวมาทั้งหมด ไม่ได้มีเจตนาเพื่อเจาะลึกไปยังเเบบจำลองนี้มากเกินไป และซึ่งมันเป็นเเค่ “สมมุติฐาน” ที่ตั้งกันขึ้นมา เพียงพอเเล้วที่จะบอกได้ว่า เป็นความท้อใจ ที่ได้เห็นบรรดานักโต้มุสลิมที่อ้างกันว่า แบบจำลองนี้ ได้รับการกล่าวถึงอยู่ในคัมภีร์อัลกุรอาน หรืออย่างเลวร้ายก็คือ มันได้รับการตรวจสอบเเล้วว่าถูกต้อง

นี่คือคำพูดที่ไม่มีมูลความจริง เเละเป็นการกล่าวเท็จให้กับอัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา การคาดคะเนไม่สมควรนำมาตีความบนคำพูดของอัลลอฮ์

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากว่าเอกภพ ไม่ได้กำลังขยายตัวตาม ตามการตีความเรดชิฟต์ ดังนั้น ศาสนาบิ๊กแบงก็ต้องตายลง และทฤษฏีวิวัฒนาการของดาร์วินส์ ก็จะถูกเผาในโลงเดียวกัน

เนื่องจากผลกระทบของมันร้ายเเรง มันจึงต้องได้รับการปกป้อง ด้วยกับทุกทางที่สามารถทำได้ ไม่ว่าด้วยทรัพยากรทางการเงิน(ทุนวิจัย) การศึกษา(เขียนตำราต่างๆ) ด้านบันเทิง(สร้างภาพยนต์ล้างสมอง) รวมทั้งด้านสื่อสารมวลชนทางวิทยาศาสตร์ และรวมไปถึงพวกเอทิสต์ ผู้ที่รู้ว่าการต่อต้านบิ๊กแบงจะทำลายโอกาสพวกเขา หลายคนจึงมีมุมมองเอนเอียงชัดเจนในเรื่องดาราศาสตร์ และฟิสิกส์ ที่เกี่ยวข้องกับแบบจำลองบิ๊กแบง